วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Love Story in Harvard

Love Story in Harvard
จุดพลิกผันของเรื่องมีหลายเหตุการณ์ หนึ่งในนั้น คือ ฉากที่นางเอกซึ่งเป็นแพทย์ฝึกหัดยังไม่ได้รับใบอนุญาต เธอช่วยชีวิตผู้ป่วยรายหนึ่งที่หมดสติในผับที่เธอทำงาน เธอในฐานะที่เป็นแพทย์ แม้จะยังไม่จบและยังไม่ได้รับใบอนุญาต เธอไม่สามารถทนดู หรือ ยอมให้คนป่วยเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาได้ ข้างกายเธอมีพระรองซึ่งชอบนางเอก อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เขาให้ข้อมูลทางกฎหมายกับเธอว่า การรักษาผู้ป่วยทั้ง ๆ ที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา สิ่งที่อาจตามมาหลังจากที่เธอตัดสินใจรักษาผู้ป่วยรายนี้อาจสาหัสกว่าที่เธอคิดไว้ มันอาจต้องแลกด้วยอนาคตการเป็นแพทย์ของเธอเลยก็ได้

ลีซูอิน (นางเอก) ไม่สนใจเรื่องที่ตัวเองจะต้องเดือดร้อน แต่เธอสนใจผู้ป่วยที่กำลังจะตายตรงหน้ามากกว่า เธอถามคนในเหตุการณ์ว่าผู้ป่วยเป็นลมหมดสติมานานเท่าไหร่แล้ว มีคนบอกว่า 5 นาที หรือ 7 นาที ลีซูอินให้ข้อมูลว่า ถ้าไม่มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองภายใน 10 นาที ผู้ป่วยรายนี้จะต้องตาย กว่ารถพยาบาลจะมาถึงคงสายเกินไป เธอจึงตัดสินใจตะโกนขอไวน์และมีดปลายแหลมเล็ก และหลอดกาแฟ จากคนในผับ และหยุดคิดทบทวนบางอย่างก่อนลงมือรักษา

จากเหตุการณ์นั้น นางเอกสามารถช่วยชีวิตของผู้ป่วยรายนั้นไว้ได้ แต่มือของเขาเป็นอัมพาตไม่สามารถทำงานศิลปะได้อีกต่อไป พ่อกับแม่ผู้ป่วยไม่ติดใจเอาความ เพราะคิดว่านางเอกมีเจตนาดีที่จะช่วยชีวิตลูกชายของเขาไว้ แต่บริษัทแห่งหนึ่งที่รับทำคดีความยื่นมือเข้ามาช่วยเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงคดีที่เคยแพ้ว่าความให้กับนศ.ในศาลจำลอง เดิมพันครั้งนี้จึงมิใช่แค่เรื่องของบุคคลแต่รวมถึงสถาบันอันมีชื่อเสียง อย่างวิทยาลัยแพทย์ของ Harvard

พระเอกและพระรองที่เรียนกฎหมาย ณ Law School ของ Harvard ต่างใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มีช่วยนางเอกให้รอดพ้นจากคดีนี้ มิเช่นนั้นนางเอกจะต้องออกจากการเป็นแพทย์ ความฝันของเธอต้องพังทลายลง และวิทยาลัยแพทย์อาจถูกฟ้องจากญาติผู้เสียหาย

พระเอกไปขอพึ่งพา ศ.คีนส์ ปรมาจารย์ทางกฎหมายของ Harvard ในฐานะที่ตนเองเป็นลูกศิษย์ของท่านคนนึง ค้นหาข้อมูลอยู่นาน ก็หาไม่พบ ศ.คีนส์บอกกับพระเอกว่า ไม่มีกฎหมายตัวใดที่จะใช้ได้กับทุกกรณี เธอต้องยึดหลักการของกฎหมายและเอาไปประยุกต์ใช้กับกรณีต่าง ๆ เอาเอง แล้วท่านก็เมตตามอบตำราให้ไปอ่านหลายเล่ม

ก่อนวันที่จะตัดสินคดีของนางเอกโดยคณะกรรมการจริยธรรม นางเอกเข้าไปที่โรงพยาบาลใน ม. เพื่อเก็บข้าวของเพราะเธอคิดว่าวันรุ่งขึ้นเธอคงไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว ก่อนที่จะออกมาเธอแวะไปเยี่ยมและร่ำลาผู้ป่วยรายนั้น ผู้ป่วยไม่ต้อนรับเธอบ่ายเบี่ยงว่าให้ไปคุยกับทนาย แต่นางเอกบอกไปว่าเธอมิได้มาคุยเรื่องนั้น เธอเพียงแต่จะมาขอโทษที่ทำให้เขาต้องอัมพาตที่มือ ถ้าเธอไม่ลังเล ตัดสินใจให้เร็วกว่านี้ เขาคงมีอาการดีกว่านี้ แล้วเธอก็ยิ้มหวานให้ และให้กำลังใจผู้ป่วยรายนั้นว่าให้สู้ต่อไป แม้เธอเองก็ตาม อนาคตถ้าฝันของเธอที่จะเป็นหมอต้องดับลง แต่เธอก็จะไม่ละทิ้งความฝันที่จะช่วยเหลือคนเพราะการช่วยเหลือคนมีหลายวิธี เธอเป็นกำลังใจให้เขาเช่นกัน

แล้ววันตัดสินของคณะลูกขุนก็มาถึง นางเอกมานั่งในที่รับฟังคำตัดสิน พร้อมด้วยอาจารย์ที่ปรึกษา คณะลูกขุนสอบถามนางเอกว่ารู้หรือไม่การรักษาโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นความผิด นางเอกตอบว่า "ทราบ" คณะลูกขุนถามอีกว่า นางเอกเคยเรียนวิธีรักษาแบบนี้มาก่อนหรือไม่ เป็นวิธีที่ยากมาก เสี่ยงด้วย แม้แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะรักษาด้วยวิธีนี้ นางเอกตอบไปว่า เธอเคยเรียนมาแล้วกับอาจารย์ที่ปรึกษา และเคยฝึกปฏิบัติกับหุ่น แต่ยังไม่เคยรักษากับคน ใกล้จะจบการพิจารณาคดี พระเอกก็ค้นหาหลักการที่จะช่วยนางเอกได้ เขาจึงวิ่งด้วยความเร็วไปที่นั่น และขออนุญาตพูดให้ข้อมูลเพื่อช่วยนางเอก

พระเอกบอกกับทุกคนที่นั่นว่า มีกฎหมายประเทศหนึ่ง ระบุว่าการช่วยเหลือคนที่กำลังประสบเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่าผลหลังจากการช่วยเหลือไปแล้วจะเป็นอย่างไร ผู้ให้ความช่วยเหลือด้วยหัวใจบริสุทธิ์ย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายนี้ ในทางกลับกัน หากผู้ที่พบเห็นคนที่กำลังประสบเคราะห์กรรมแบบฉุกเฉิน แล้วไม่ช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่ตนเองอยู่ในสถานะที่จะช่วยเหลือได้ บุคคลนั้นถือว่ามีความผิดฐานเมินเฉยต่อผู้ประสบเหตุ กฎหมายนี้ใช้หัวใจในการพิจารณาและตัดสินคดี เป็นไปตามหลักจริยธรรม

คณะลูกขุนรับฟังที่พระเอกให้การณ์ แล้วจึงนำข้อมูลไปขอความคิดเห็นจาก ศ.คีนส์ แล้วจึงออกมาตัดสินคดีนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาของนางเอกรับมาอ่านด้วยความตื้นตันที่นางเอกพ้นความผิด จากนั้นนางรองก็เข้ามาบอกกับนางเอกว่า คุณโชคดีมากนะคะ ที่ผู้ป่วยตัดสินใจไม่ฟ้องคุณแล้วล่ะค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น