วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หญิงชรา ณ ชานชาลาที่สาม

ในสังคมผู้สูงอายุอย่างทุกวันนี้ เราจะเจอผู้สูงอายุทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น คนหนุ่มสาวจึงมีหน้าที่พลเมืองในการช่วยเหลือ เยียวยา ประคับประคองผู้สูงอายุเท่าที่จะทำได้ช่วยได้ สิ่งนี้ฉันปฏิบัติและสอนลูกศิษย์มาโดยตลอด

วันก่อนกลับบ้าน ฉันเดินทางไปขึ้นรถไฟ ณ ชานชาลาที่ 3 ฉันเห็นหญิงชราคนหนึ่ง นุ่งผ้าถุง สวมเสื้อลายดอก ฟันฟางแทบจะไม่เหลือให้เคี้ยวอะไรมากนัก เธอเป็นคนอัธยาศัยดี พอฉันวางสัมภาระข้าง ๆ เธอยิ้มให้ฉัน ฉันยิ้มให้เธอ มองไปข้าง ๆ มีชายวัยใกล้เกษียณท่านหนึ่งกำลังนั่งใช้อุปกรณ์มือถือและเครื่องมือสื่อสารอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันละสายตาจากเขาจากนั้นการสนทนาของหญิงต่างวัย (ฉันและคุณยาย) ก็เริ่มขึ้น

ฉันทักทายตามประสา ถามเธอว่าจะไปไหน เธอบอกว่าจะกลับบ้านที่นครฯ ระหว่างทางรอคนมารับ แต่คนที่จะมารับไปร่วมงานศพกะทันหัน เธอจึงต้องรอที่สถานีรถไฟไปพลาง ๆ เธอเล่าว่าเธอรอมา 2 วันแล้ว มีเงินติดตัวไม่กี่ร้อย ซื้อข้าวเหนียวไก่ทานไปแล้ว เมื่อคืนก็ได้อาศัยนอนที่รถไฟ วันนี้น่าว่า (คาดว่า) หลานคงจะมารับ

ฉันเห็นเธอเล่าด้วยท่าทางเป็นมิตรและยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ทำไมดวงตาของเธอมิได้แจ่มใส เบิกบานอย่างที่เธอแสดงออกมาเลย ฉันสัมผัสได้ว่าเธอมีความกังวลว่า หลานจะมารับเธอรึเปล่า เงินติดตัวที่ตอนนี้เหลือ 80 บาทจะประทังชีวิตของเธอได้กี่มื้อ กี่วัน และค่าตั๋วรถไฟ 100 กว่าบาทล่ะ เธอจะทำอย่างไร เธอบอกกับฉันว่าเมื่อก่อนมีรถไฟฟรี เธอนั่งเป็นประจำ ตอนนี้ไม่มีแล้ว เธอกับอีกหลายคนที่ไม่ค่อยมีตังค์เลยลำบากหน่อย ต้องเจียดเงินค่าขนมที่ลูกหลานให้มาเป็นค่าเดินทาง

เธอยังเล่าอีกว่า เธอมีลูก ลูกของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อ 9 ปีมาแล้ว เธอยังจำเรื่องราวต่าง ๆ ของลูกได้ดี เวลาเธอเล่าเรื่องลูก ฉันเห็นรอยยิ้มในดวงตาคู่นั้นของเธอ เธอเล่าต่อว่า ลูกให้เงินเธอเดือนละ 4000-5000 บาท เธออยู่อย่างสบาย อยากซื้ออะไรก็ได้ เธอเอาเงินไปซื้อหวยด้วยแต่ไม่เคยถูก แต่พอไม่มีลูก...ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป

ฉันฟังเรื่องราวของเธอจึงหยิบแบงค์ 100 ในกระเป๋าให้เธอไว้ใช้จ่าย และมอบข้าวหมูทอดที่ฉันตั้งใจจะไว้กินมื้อเที่ยงให้กับเธอ และช่วยโทรติดต่อหลานให้ แต่ไม่สามารถติดต่อหลานของเธอได้ สักพักชายวัยเกษียณที่นั่งข้าง ๆ ก็ละสายตาจากหน้าจออุปกรณ์สื่อสารมาร่วมวงสนทนากับเรา เขาเล่าว่าเขาได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้หญิงชราท่านนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว พอเขาเห็นฉันช่วยเหลือเธอ เขาเลยหยิบเงินในกระเป๋ามาช่วยอีก 100 บาท แล้วเสียงประกาศจากสถานีก็ดังขึ้นว่ารถไฟขบวนที่ฉันนั่งกำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามาเทียบชานชาลา เวลาของฉันกับหญิงชราท่านนั้นจึงหมดลง

เมื่อขึ้นรถไฟ ปรากฏว่าฉันกับชายวัยเกษียณท่านนั้นนั่งขบวนเดียวกัน ที่นั่งของเขาคือที่อื่น แต่มีทหารนั่งที่ของเขา เขาจึงมานั่งกับฉัน เขาก็เริ่มเปิดฉากสนมนากับฉันด้วยการเล่าประวัติอันยาวเหยียดให้ฉันฟัง ฉันจึงรู้ว่าเรื่องเล่าจะสัมพันธ์กับอายุ ถ้าเรามีอายุเยอะเรื่องเล่าก็จะมีมากมายตามไปด้วย ฉันฟังไปเรื่อย ๆ ไม่คิดอะไร เพราะแม่ของฉันก็ชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ ของท่านให้ฉันฟังทุกครั้งที่กลับบ้าน แม้จะเป็นเรื่องเดิม ๆ ตัวละครเดิม ๆ จนฉันจำได้และสามารถเล่าเองได้ แต่ฉันก็ตั้งใจฟังโดยไม่รู้สึกเบื่อ อยากเล่าก็เล่ามาละกัน...ฉันคือผู้ฟังที่ดี แม้ว่าบางคราวอาจจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปบ้างก็ตาม

ชายวัยเกษียณนั่งเล่าเรื่องราวของเขาให้ฉันฟังมาตลอดทาง กระทั่งใกล้ถึงที่หมาย เขาจึงบอกกับฉันว่า เขาสังเกตพฤติกรรมของฉันที่ปฏิบัติต่อคุณยายที่สถานีรถไฟ เขาบอกว่าเขาประทับใจ เขาไม่คิดเลยว่าคนหนุ่มสาวจะปฏิบัติต่อผู้สูงอายุแบบฉัน ตอนแรกเขาคิดว่าฉันกับคุณยายรู้จักกันเสียอีกเห็นคุยกันถูกคอ ฉันตอบเขาไปว่าเปล่าเลย แต่มันเป็นนิสัยของฉันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ถ้าฉันเห็นคนที่อ่อนแอกว่าอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก หรือ คนชรา ฉันจะเข้าไปตรวจสอบ ถามความก่อนว่าต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า ถ้าเขามีลูกหลาน หรือ พ่อแม่ดูแลแล้ว ฉันจึงเดินออกมา ฉันจะไม่ยอมให้คนเหล่านี้ต้องประสบเคราะห์กรรมต่อหน้าต่อหน้า ถ้าฉันช่วยได้ ฉันจะทำทันที ชายวัยเกษียณถามฉันว่า ไม่กลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพเหรอ ฉันตอบไปว่าฉันก็ต้องพิจารณาเช่นกัน แต่กรณีคุณยายท่านนี้ฉันมองเห็นในความใสซื่อของเธอ ฉันอยากช่วยเธอให้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น