วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

A นั้นสำคัญไฉน

เทอมนี้สอนนศ.ปี 1 และ ปี 2 คนละวิชา นศ.ปี 2 เป็น กลุ่มเรียนที่เคยสอนมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว เทอมนี้เจอกันอีกนับว่าดวงสมพงศ์กัน คาบสุดท้ายก่อนสอบ midterm หมดคาบสอน เด็กที่ตั้งใจเรียนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหา แล้วสอบถามโน้น นี้ นั้น ตามประสาเด็กตั้งใจเรียน ซึ่งเขาก็ตั้งใจจริง ๆ ฉันมองเห็นและรับรู้ถึงสิ่งนั้น ก่อนเดินออกจากห้อง เด็ก ๆ เปรยขึ้นมาว่า เที่ยวนี้ต้องเอา A วิชาของอ.ให้ได้ ปีที่แล้วห้องของเขาไม่มีใครได้ A วิชาอาจารย์เลยสักคน เสียใจมาก ร้องไห้หนักมาก อยากได้ A วิชาที่อ.สอน เพราะพวกเราตั้งใจ ดิฉันฟังแล้วก็อึ้งนิดนึง เด็กเขาแคร์เรานะ เขาจึงตั้งอกตั้งใจเรียน แล้วถามว่าทำไมอยากได้ A วิชาที่อ.สอนล่ะคะ เขาบอกว่ามันเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ อ.จะได้จำเขาได้ เขาอยากอวดอาจารย์ ฉันนึกถึงสมัยเด็ก ฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน อยากเรียนเก่ง เรียนดี เอาเกรดไปอวดแม่ แม่จะได้ชื่นใจและภูมิใจในตัวฉัน...แล้วภาพก็ตัดกลับมาที่เด็กกลุ่มนี้ เวลาผ่านไปกี่ยุคสมัย หัวใจดวงเล็ก ๆ ก็ยังมีความรัก ความปรารถนาที่จะเป็นคนสำคัญ และเป็นที่หนึ่งในใจของบุคคลอันเป็นที่รักตลอดกาล

เหรียญสองด้าน

ดูรายการเจาะใจ ช่วงหนึ่งคุณหนุ่มเมืองจันทน์นำภาพ 3 ภาพมาเล่าเรื่องราวดี ๆ แฝงด้วยสัจธรรมของชีวิต

#ภาพแรก คุณครูเขียนสูตรคูณบรรทัดแรกบนกระดานผิด บรรทัดต่อมาเขียนถูกต้อง นร.เกือบทั้งห้องรีบทักท้วงคุณครู บ้างก็หัวเราะชอบใจ แต่คุณครูยังคงเขียนต่อไปจนจบ

#ภาพที่สอง เป็นพื้นสีขาว ตรงกลางมีจุดดำเล็ก ๆ ถามคนทั้งห้องส่งว่าคุณมองเห็นอะไรในภาพนี้ ส่วนใหญ่ตอบว่า มองเห็นจุดดำ ทั้ง ๆ ที่พื้นมัน คือ สีขาว แต่คนส่วนใหญ่กลับมองเห็นจุดดำ

#ภาพสุดท้าย เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึง 30 ปี ก่อนหน้านั้นเขามีสุขภาพดี ชอบช่วยเหลือสังคม พอเขาป่วยเป็นมะเร็งเขาก็มีร่างกายทรุดโทรม แต่ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งเขาจึงฝ่าฟันมันมาได้ เขารอดตาย วันหนึ่งเขาเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ มีเด็กคนหนึ่งเห็นเขาในสภาพนั้นแล้วตกใจกลัว วิ่งหนีออกจากร้านไปเลย คนอื่น ๆ ก็มีพฤติกรรมคล้าย ๆ กัน คือ เดินหนี เขากลับมาส่องกระจกดูตัวเองว่านี่เราน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า นั่นมันคนอื่นมองเรา เขาจะมองยังงัยก็ช่าง เราเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้นี่นา เราก็เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนที่ความคิดของเราเองแล้วกัน แล้วเขาก็กลับมายืนในสังคมอย่างภาคภูมิใจดังเดิม ล่าสุด เขาลงแข่งวิ่งมินิมาราธอน มี 5 กม. และ 10 กม. พอวิ่งมาถึง 5 กม. เขาเลือกที่จะวิ่งต่อ เพราะในใจของเขาคิดว่า 5 กม. ตัวเลือกแรก คือ #ได้ทำ ส่วนกิโลเมตรที่ 10 คือ #ทำได้ แล้วเขาก็วิ่งเข้าเส้นชัยอย่างหมดสภาพ แต่หัวใจเขายิ่งใหญ่มาก เขาเอาเหรียญมาแนบกับอก ประหนึ่งจะบอกให้โลกรับรู้ว่า "เขาทำได้...คุณก็ทำได้"

ฉันดูรายการนี้แล้วได้ข้อคิดจากสิ่งที่คุณหนุ่มเมืองจันทน์นำมาเล่าว่า...
ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ (ถ้ามองแบบศิลปินอาจมองว่ามีมากกว่า 2 ด้าน) เราควรเลือกมองด้านดี/ด้านสว่าง ในที่นี้ คือ สิ่งที่คุณครูเขียนถูกบนกระดาน และสีขาวบนพื้นหลัง การมองจุดดำ หรือ สิ่งผิดพลาดของคนอื่นไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นนัก รังแต่จะทำให้จิตใจเศร้าหมองไม่เบิกบาน คนในสังคมควรเปลี่ยนความคิดและมุมมองบางเรื่องเสียใหม่ เลือกมองด้านดีบ้าง และเมื่อใดก็ตามที่เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คนรอบข้างมองต่างไปจากเรา จงเคารพความเห็นต่างนั้น อย่าไปพยายามเปลี่ยนความคิดของพวกเขาเพราะทำได้ยากมาก แต่จงเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองของตัวเองง่ายกว่า ทำในแบบที่เราสบายใจ ไม่เดือดร้อนใคร ไม่เป็นภัยแก่สังคม

~~~~~~~~~~~~ The end~~~~~~~~~~~~

สุนัขตัวนั้น

#สุนัขตัวนั้น
เย็นวันนี้ ฉันแวะซื้อชามะนาวเอาไปใส่กระติกทานที่บ้าน พอดีเมื่อวานเพิ่งถอยกระติกน้ำที่ 7-11 ลายน่ารักน่าชัง ฉันพบว่ามันเก็บรักษาความเย็นดีเว่อร์ เมื่อวานซื้อโอเลี้ยงราว 5 โมงเย็น ...ประทานโทษเที่ยงคืนแล้ว น้ำกับน้ำแข็งยังละลายไม่หมด ยังเข้มข้นอร่อยเว่อร์เหมือนเดิม

ภาพตัดมาที่ฉันเห็นสุนัขชราสีน้ำตาลหม่น ๆ ปน ๆ เทา ๆ   บอกยากว่าเป็นสีอะไรกันแน่ เหมือนว่าจะผ่านการเล่นดินโคลนมาด้วย เขาหยุดยืนตรงร้านหมูปิ้งติดกับร้านน้ำที่ฉันซื้อ ฉันเดินไปบอกคนขายว่าอุดหนุน 4 ไม้ช่วยเอาไม้ออกด้วยจะให้สุนัขตัวนี้ แล้วฉันก็หันไปมองเค้า พบว่าเขามีฟันหน้าเหลือแค่ 2 ซี่ ฟันเขี้ยวนั่นเอง แต่มันล้มเอนมาข้างหน้ามาก เหมือนว่าน่าจะหลุดเร็ว ๆ นี้  ฟันซี่อื่น ๆ กลับสู่ธรรมชาติหมดแล้ว เราสบตากันแว่บนึง ฉันมองเห็นอีกอย่าง คือ  เขาเริ่มหูตาฝ้าฟางแล้ว เหล่ตาไปมาราวกับว่าอยากมองหน้าฉันชัด ๆ แล้วเขาก็ยิ้มหวานให้ฉันด้วยฟันหน้า 2 ซี่สุดท้ายนั่นเอง

ฉันบอกคนขายว่าช่วยเอาไม้ออกให้ด้วย คนขายหยิบให้ 2 ไม้ แล้วบอกว่าให้ 2 ไม้ก็พอ เมื่อสักครู่เธอให้เขากินแล้ว อย่าให้เยอะเพราะมีมัน คนขายบอกว่าเธอให้เขากินทุกวัน วันละ 2 ไม้  ตอนเย็นเขาจะมารอแล้ว ฉันฟังเรื่องราวที่เธอเล่าเพลิน ๆ ก็อดขอบคุณเธอในใจไม่ได้ ที่เธอมีเมตตากับสัตว์โลก และมีความซื่อตรงกับลูกค้า เธอไม่คิดที่จะเอากำไรจากฉัน ทั้ง ๆ ที่ฉันสั่ง 4 ไม้ แต่เธอกลับให้มา 2 ไม้ด้วยเหตุผลข้างต้น

ฉันแวะไปรับชามะนาวที่สั่งไว้แล้วเดินตุเลง ตุเลง ไปที รถ พอกำลังจะเปิดประตูรถก็พบว่าสุนัขตัวนั้นเดินข้ามถนนมาส่งฉัน พร้อมกับรอยยิ้มหวาน เขาหรี่ตามองฉัน ฉันเลยบอกไปว่า ขอบคุณนะที่มาส่ง แล้วเขาก็ข้ามถนนกลับบ้านอย่างมีความสุข

ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง #2

อ่านข้อความ หรือ อาจเรียกว่าความในใจก็ได้ ของนางงามท่านหนึ่ง เธอเป็นคุณหมอ บุคลิกภายนอก ณ วันนี้ ดูเป็นผู้หญิงเก่ง และแกร่ง ไม่ได้อ่อนช้อย นุ่มนวล อย่างที่หลายคนคาดหวังอย่างนางงามในอุดมคติ เล่ามาถึงตรงนี้ คงจะนึกออกว่าเธอ คือ ใคร

สำหรับฉัน ผู้หญิงสวย คือ คนที่มีจิตใจดีงาม ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ รูปกายภายนอกสมัยที่มีดหมอก้าวหน้าทำให้หลายคนแยกไม่ออกว่า อันไหนสวยจริง สวยปลอม สวยแท้ สวยเทียม คุณหมอนางงามคนนี้สวยทั้งรูปกายและจิตใจ

ฉันอ่านประวัติของเธอเพลิน ๆ มาสะดุดตรงที่ เธอมุ่งมั่นที่จะช่วยคนป่วยอย่างจริงจังและจริงใจ เส้นทางในแวดวงนางงามมีความหมายกับเธอมาก มิใช่เพื่อตัวเธอเอง แต่เพราะเธอคิดว่า ถ้าเธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เธอจะสามารถใช้มันในการรักษาคนป่วยได้มากขึ้น เธอตั้งใจจะรักษาคนเจ็บโดยไม่คิดค่ารักษาพยาบาล ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาเธอจึงตัดสินใจประกวดนางงาม ในที่สุดความฝันของเธอก็เป็นจริง

ฉันอ่านแล้วประทับใจจึงอยากมาเล่าเพื่อน ๆ ทาง FB ให้อิ่มใจด้วย เหมือนอย่างที่ฉันเห็นคุณตูนกำลังทำความฝันที่ยิ่งใหญ่ของเขาให้เป็นจริงเช่นกัน #เบตงแม่สาย ฉันเห็นอะไรหลายอย่างที่มากกว่าการวิ่ง เช่น กระแสการรักสุขภาพของผู้คน และโอกาสได้รับการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยและผู้กำลังจะป่วยหลายล้านคน คือ รางวัลของพวกเขา "Our Soul is for the benefit of Mankind.

หญิงชรา ณ ชานชาลาที่สาม

ในสังคมผู้สูงอายุอย่างทุกวันนี้ เราจะเจอผู้สูงอายุทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น คนหนุ่มสาวจึงมีหน้าที่พลเมืองในการช่วยเหลือ เยียวยา ประคับประคองผู้สูงอายุเท่าที่จะทำได้ช่วยได้ สิ่งนี้ฉันปฏิบัติและสอนลูกศิษย์มาโดยตลอด

วันก่อนกลับบ้าน ฉันเดินทางไปขึ้นรถไฟ ณ ชานชาลาที่ 3 ฉันเห็นหญิงชราคนหนึ่ง นุ่งผ้าถุง สวมเสื้อลายดอก ฟันฟางแทบจะไม่เหลือให้เคี้ยวอะไรมากนัก เธอเป็นคนอัธยาศัยดี พอฉันวางสัมภาระข้าง ๆ เธอยิ้มให้ฉัน ฉันยิ้มให้เธอ มองไปข้าง ๆ มีชายวัยใกล้เกษียณท่านหนึ่งกำลังนั่งใช้อุปกรณ์มือถือและเครื่องมือสื่อสารอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันละสายตาจากเขาจากนั้นการสนทนาของหญิงต่างวัย (ฉันและคุณยาย) ก็เริ่มขึ้น

ฉันทักทายตามประสา ถามเธอว่าจะไปไหน เธอบอกว่าจะกลับบ้านที่นครฯ ระหว่างทางรอคนมารับ แต่คนที่จะมารับไปร่วมงานศพกะทันหัน เธอจึงต้องรอที่สถานีรถไฟไปพลาง ๆ เธอเล่าว่าเธอรอมา 2 วันแล้ว มีเงินติดตัวไม่กี่ร้อย ซื้อข้าวเหนียวไก่ทานไปแล้ว เมื่อคืนก็ได้อาศัยนอนที่รถไฟ วันนี้น่าว่า (คาดว่า) หลานคงจะมารับ

ฉันเห็นเธอเล่าด้วยท่าทางเป็นมิตรและยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ทำไมดวงตาของเธอมิได้แจ่มใส เบิกบานอย่างที่เธอแสดงออกมาเลย ฉันสัมผัสได้ว่าเธอมีความกังวลว่า หลานจะมารับเธอรึเปล่า เงินติดตัวที่ตอนนี้เหลือ 80 บาทจะประทังชีวิตของเธอได้กี่มื้อ กี่วัน และค่าตั๋วรถไฟ 100 กว่าบาทล่ะ เธอจะทำอย่างไร เธอบอกกับฉันว่าเมื่อก่อนมีรถไฟฟรี เธอนั่งเป็นประจำ ตอนนี้ไม่มีแล้ว เธอกับอีกหลายคนที่ไม่ค่อยมีตังค์เลยลำบากหน่อย ต้องเจียดเงินค่าขนมที่ลูกหลานให้มาเป็นค่าเดินทาง

เธอยังเล่าอีกว่า เธอมีลูก ลูกของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อ 9 ปีมาแล้ว เธอยังจำเรื่องราวต่าง ๆ ของลูกได้ดี เวลาเธอเล่าเรื่องลูก ฉันเห็นรอยยิ้มในดวงตาคู่นั้นของเธอ เธอเล่าต่อว่า ลูกให้เงินเธอเดือนละ 4000-5000 บาท เธออยู่อย่างสบาย อยากซื้ออะไรก็ได้ เธอเอาเงินไปซื้อหวยด้วยแต่ไม่เคยถูก แต่พอไม่มีลูก...ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป

ฉันฟังเรื่องราวของเธอจึงหยิบแบงค์ 100 ในกระเป๋าให้เธอไว้ใช้จ่าย และมอบข้าวหมูทอดที่ฉันตั้งใจจะไว้กินมื้อเที่ยงให้กับเธอ และช่วยโทรติดต่อหลานให้ แต่ไม่สามารถติดต่อหลานของเธอได้ สักพักชายวัยเกษียณที่นั่งข้าง ๆ ก็ละสายตาจากหน้าจออุปกรณ์สื่อสารมาร่วมวงสนทนากับเรา เขาเล่าว่าเขาได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้หญิงชราท่านนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว พอเขาเห็นฉันช่วยเหลือเธอ เขาเลยหยิบเงินในกระเป๋ามาช่วยอีก 100 บาท แล้วเสียงประกาศจากสถานีก็ดังขึ้นว่ารถไฟขบวนที่ฉันนั่งกำลังจะเคลื่อนตัวเข้ามาเทียบชานชาลา เวลาของฉันกับหญิงชราท่านนั้นจึงหมดลง

เมื่อขึ้นรถไฟ ปรากฏว่าฉันกับชายวัยเกษียณท่านนั้นนั่งขบวนเดียวกัน ที่นั่งของเขาคือที่อื่น แต่มีทหารนั่งที่ของเขา เขาจึงมานั่งกับฉัน เขาก็เริ่มเปิดฉากสนมนากับฉันด้วยการเล่าประวัติอันยาวเหยียดให้ฉันฟัง ฉันจึงรู้ว่าเรื่องเล่าจะสัมพันธ์กับอายุ ถ้าเรามีอายุเยอะเรื่องเล่าก็จะมีมากมายตามไปด้วย ฉันฟังไปเรื่อย ๆ ไม่คิดอะไร เพราะแม่ของฉันก็ชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ ของท่านให้ฉันฟังทุกครั้งที่กลับบ้าน แม้จะเป็นเรื่องเดิม ๆ ตัวละครเดิม ๆ จนฉันจำได้และสามารถเล่าเองได้ แต่ฉันก็ตั้งใจฟังโดยไม่รู้สึกเบื่อ อยากเล่าก็เล่ามาละกัน...ฉันคือผู้ฟังที่ดี แม้ว่าบางคราวอาจจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปบ้างก็ตาม

ชายวัยเกษียณนั่งเล่าเรื่องราวของเขาให้ฉันฟังมาตลอดทาง กระทั่งใกล้ถึงที่หมาย เขาจึงบอกกับฉันว่า เขาสังเกตพฤติกรรมของฉันที่ปฏิบัติต่อคุณยายที่สถานีรถไฟ เขาบอกว่าเขาประทับใจ เขาไม่คิดเลยว่าคนหนุ่มสาวจะปฏิบัติต่อผู้สูงอายุแบบฉัน ตอนแรกเขาคิดว่าฉันกับคุณยายรู้จักกันเสียอีกเห็นคุยกันถูกคอ ฉันตอบเขาไปว่าเปล่าเลย แต่มันเป็นนิสัยของฉันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ถ้าฉันเห็นคนที่อ่อนแอกว่าอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก หรือ คนชรา ฉันจะเข้าไปตรวจสอบ ถามความก่อนว่าต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า ถ้าเขามีลูกหลาน หรือ พ่อแม่ดูแลแล้ว ฉันจึงเดินออกมา ฉันจะไม่ยอมให้คนเหล่านี้ต้องประสบเคราะห์กรรมต่อหน้าต่อหน้า ถ้าฉันช่วยได้ ฉันจะทำทันที ชายวัยเกษียณถามฉันว่า ไม่กลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพเหรอ ฉันตอบไปว่าฉันก็ต้องพิจารณาเช่นกัน แต่กรณีคุณยายท่านนี้ฉันมองเห็นในความใสซื่อของเธอ ฉันอยากช่วยเธอให้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง #1

สนทนากับวิศวกรรุ่นใหญ่แห่ง ปตท.ท่านหนึ่ง  ท่านเล่าว่าท่านมีลูกน้องมากมาย มีอำนาจในการเซ็นอนุมัติเงินครั้งละไม่เกิน 30 ล้านบาท เงินเดือน 6 หลัก ไม่รวมโบนัสและอื่น ๆ ท่านบอกแค่ตัวเลข 6 7 8  ท่านมีรถประจำตำแหน่ง มีโน้น นี้ นั้น ฉันบอกกับท่านว่าฉันไม่สนใจหรือตื่นเต้นกับตัวเลขในบัญชีนัก สิ่งที่ฉันให้ความสำคัญ คือ จะเอาตัวเลขในบัญชีเหล่านั้นไปช่วยคนที่ลำบากยากจนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร

อย่างทุกวันนี้ ฉันและเชื่อว่าหลายคนคงสัมผัสได้ว่านาฬิกาชีวิตเดินเร็วมาก เราจึงควรใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด สิ่งหนึ่งของบั้นปลายชีวิต คือ การสร้างตำนานไว้ให้ลูกหลานและคนรุ่นหลังจดจำและนำไปเป็นแบบอย่างของการทำความดี อย่างที่ "พี่ตูน" กำลังทำ...ฉันเชื่อว่าหลังจากนี้สิ่งที่เขาทำจะกลายเป็น "ตำนาน"...หนึ่งฉากชีวิตอันงดงามของเขาที่มีฉากหลัง คือ คนไทยทั้งชาติร่วมมือ ร่วมใจ สร้างพลังความรัก ความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่เพื่อช่วยเหลือสังคมในระดับมหภาค

ณ วันนี้ หนุ่มวิศวกรรุ่นพี่ท่านนั้น ได้หันมาช่วยสังคมมากขึ้นตามกำลังที่เขามี เขาบอกกับฉันว่าเขาอยากสร้างตำนานของเขาเองเช่นกัน เขากำลังเขียนตำราวิศวะ ที่ไม่มีที่ไหนในโลก เพื่อนของเขาที่เป็นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของไทยกำลังช่วยตรวจสอบและสนับสนุนการจัดพิมพ์ตำราในตำนานเล่มนี้...ฉันฟังและรับรู้เรื่องราวการสร้างตำนานของทั้งพี่วิศวกร และของคุณตูนแล้ว ฉันจึงนึกเล่น ๆ ว่า ฉันควรจะสร้างตำนานของฉันฝากไว้ให้ลูกหลานบ้างเช่นกัน

Love Story in Harvard

Love Story in Harvard
จุดพลิกผันของเรื่องมีหลายเหตุการณ์ หนึ่งในนั้น คือ ฉากที่นางเอกซึ่งเป็นแพทย์ฝึกหัดยังไม่ได้รับใบอนุญาต เธอช่วยชีวิตผู้ป่วยรายหนึ่งที่หมดสติในผับที่เธอทำงาน เธอในฐานะที่เป็นแพทย์ แม้จะยังไม่จบและยังไม่ได้รับใบอนุญาต เธอไม่สามารถทนดู หรือ ยอมให้คนป่วยเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาได้ ข้างกายเธอมีพระรองซึ่งชอบนางเอก อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เขาให้ข้อมูลทางกฎหมายกับเธอว่า การรักษาผู้ป่วยทั้ง ๆ ที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา สิ่งที่อาจตามมาหลังจากที่เธอตัดสินใจรักษาผู้ป่วยรายนี้อาจสาหัสกว่าที่เธอคิดไว้ มันอาจต้องแลกด้วยอนาคตการเป็นแพทย์ของเธอเลยก็ได้

ลีซูอิน (นางเอก) ไม่สนใจเรื่องที่ตัวเองจะต้องเดือดร้อน แต่เธอสนใจผู้ป่วยที่กำลังจะตายตรงหน้ามากกว่า เธอถามคนในเหตุการณ์ว่าผู้ป่วยเป็นลมหมดสติมานานเท่าไหร่แล้ว มีคนบอกว่า 5 นาที หรือ 7 นาที ลีซูอินให้ข้อมูลว่า ถ้าไม่มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองภายใน 10 นาที ผู้ป่วยรายนี้จะต้องตาย กว่ารถพยาบาลจะมาถึงคงสายเกินไป เธอจึงตัดสินใจตะโกนขอไวน์และมีดปลายแหลมเล็ก และหลอดกาแฟ จากคนในผับ และหยุดคิดทบทวนบางอย่างก่อนลงมือรักษา

จากเหตุการณ์นั้น นางเอกสามารถช่วยชีวิตของผู้ป่วยรายนั้นไว้ได้ แต่มือของเขาเป็นอัมพาตไม่สามารถทำงานศิลปะได้อีกต่อไป พ่อกับแม่ผู้ป่วยไม่ติดใจเอาความ เพราะคิดว่านางเอกมีเจตนาดีที่จะช่วยชีวิตลูกชายของเขาไว้ แต่บริษัทแห่งหนึ่งที่รับทำคดีความยื่นมือเข้ามาช่วยเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงคดีที่เคยแพ้ว่าความให้กับนศ.ในศาลจำลอง เดิมพันครั้งนี้จึงมิใช่แค่เรื่องของบุคคลแต่รวมถึงสถาบันอันมีชื่อเสียง อย่างวิทยาลัยแพทย์ของ Harvard

พระเอกและพระรองที่เรียนกฎหมาย ณ Law School ของ Harvard ต่างใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มีช่วยนางเอกให้รอดพ้นจากคดีนี้ มิเช่นนั้นนางเอกจะต้องออกจากการเป็นแพทย์ ความฝันของเธอต้องพังทลายลง และวิทยาลัยแพทย์อาจถูกฟ้องจากญาติผู้เสียหาย

พระเอกไปขอพึ่งพา ศ.คีนส์ ปรมาจารย์ทางกฎหมายของ Harvard ในฐานะที่ตนเองเป็นลูกศิษย์ของท่านคนนึง ค้นหาข้อมูลอยู่นาน ก็หาไม่พบ ศ.คีนส์บอกกับพระเอกว่า ไม่มีกฎหมายตัวใดที่จะใช้ได้กับทุกกรณี เธอต้องยึดหลักการของกฎหมายและเอาไปประยุกต์ใช้กับกรณีต่าง ๆ เอาเอง แล้วท่านก็เมตตามอบตำราให้ไปอ่านหลายเล่ม

ก่อนวันที่จะตัดสินคดีของนางเอกโดยคณะกรรมการจริยธรรม นางเอกเข้าไปที่โรงพยาบาลใน ม. เพื่อเก็บข้าวของเพราะเธอคิดว่าวันรุ่งขึ้นเธอคงไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว ก่อนที่จะออกมาเธอแวะไปเยี่ยมและร่ำลาผู้ป่วยรายนั้น ผู้ป่วยไม่ต้อนรับเธอบ่ายเบี่ยงว่าให้ไปคุยกับทนาย แต่นางเอกบอกไปว่าเธอมิได้มาคุยเรื่องนั้น เธอเพียงแต่จะมาขอโทษที่ทำให้เขาต้องอัมพาตที่มือ ถ้าเธอไม่ลังเล ตัดสินใจให้เร็วกว่านี้ เขาคงมีอาการดีกว่านี้ แล้วเธอก็ยิ้มหวานให้ และให้กำลังใจผู้ป่วยรายนั้นว่าให้สู้ต่อไป แม้เธอเองก็ตาม อนาคตถ้าฝันของเธอที่จะเป็นหมอต้องดับลง แต่เธอก็จะไม่ละทิ้งความฝันที่จะช่วยเหลือคนเพราะการช่วยเหลือคนมีหลายวิธี เธอเป็นกำลังใจให้เขาเช่นกัน

แล้ววันตัดสินของคณะลูกขุนก็มาถึง นางเอกมานั่งในที่รับฟังคำตัดสิน พร้อมด้วยอาจารย์ที่ปรึกษา คณะลูกขุนสอบถามนางเอกว่ารู้หรือไม่การรักษาโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นความผิด นางเอกตอบว่า "ทราบ" คณะลูกขุนถามอีกว่า นางเอกเคยเรียนวิธีรักษาแบบนี้มาก่อนหรือไม่ เป็นวิธีที่ยากมาก เสี่ยงด้วย แม้แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะรักษาด้วยวิธีนี้ นางเอกตอบไปว่า เธอเคยเรียนมาแล้วกับอาจารย์ที่ปรึกษา และเคยฝึกปฏิบัติกับหุ่น แต่ยังไม่เคยรักษากับคน ใกล้จะจบการพิจารณาคดี พระเอกก็ค้นหาหลักการที่จะช่วยนางเอกได้ เขาจึงวิ่งด้วยความเร็วไปที่นั่น และขออนุญาตพูดให้ข้อมูลเพื่อช่วยนางเอก

พระเอกบอกกับทุกคนที่นั่นว่า มีกฎหมายประเทศหนึ่ง ระบุว่าการช่วยเหลือคนที่กำลังประสบเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่าผลหลังจากการช่วยเหลือไปแล้วจะเป็นอย่างไร ผู้ให้ความช่วยเหลือด้วยหัวใจบริสุทธิ์ย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายนี้ ในทางกลับกัน หากผู้ที่พบเห็นคนที่กำลังประสบเคราะห์กรรมแบบฉุกเฉิน แล้วไม่ช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่ตนเองอยู่ในสถานะที่จะช่วยเหลือได้ บุคคลนั้นถือว่ามีความผิดฐานเมินเฉยต่อผู้ประสบเหตุ กฎหมายนี้ใช้หัวใจในการพิจารณาและตัดสินคดี เป็นไปตามหลักจริยธรรม

คณะลูกขุนรับฟังที่พระเอกให้การณ์ แล้วจึงนำข้อมูลไปขอความคิดเห็นจาก ศ.คีนส์ แล้วจึงออกมาตัดสินคดีนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาของนางเอกรับมาอ่านด้วยความตื้นตันที่นางเอกพ้นความผิด จากนั้นนางรองก็เข้ามาบอกกับนางเอกว่า คุณโชคดีมากนะคะ ที่ผู้ป่วยตัดสินใจไม่ฟ้องคุณแล้วล่ะค่ะ

No one is perfect

ข้อดีของความไม่สมบูรณ์แบบ
1. เขาจะมีความพยายาม ขวนขวายมาเติมสิ่งที่ขาดหายด้วยตัวของเขาเอง
2. เขาจะมีจินตนาการในการที่จะคิดทำโน้น นี้ นั้น และมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อความอยู่รอด
3. เขาจะมีความหิว และมีความอยากที่จะทำงานและพัฒนางานเพื่อมิให้เขาต้องทนกับความหิวโหยอีก

ฉันเคยอ่านจากที่เพื่อนโพสต์มาว่า เช่นเดียวกับการต้มมาม่า เราไม่ควรต้มเส้นให้พอดี เพราะเวลากินมันจะอืดไม่อร่อย แต่ถ้าเราต้มเส้นให้แข็งนิดนึง เวลาจะกินมันจะสุกแบบพอดี ทำนองเดียวกับการนำเสนองาน ถ้าเราเตรียมไปครบตามเวลา เราจะลนเวลานำเสนอให้ครบตาม slides ที่เตรียมมา แต่ถ้าเราเตรียมไปขาดสักเล็กน้อย เวลานำเสนอจริงเราจะพูดได้เป็นจังหวะ ไม่รีบร้อน เป็นธรรมชาติมาก ฉันจึงได้ข้อสรุปว่า ความสมบูรณ์แบบอาจมิใช่คำตอบ หรือสิ่งที่ดีงามเสมอไปความขาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่างหากที่อาจทำให้งานของเราสมบูรณ์และเติมเต็มให้ชีวิตของคนเรามีความหิว มีความพยายาม มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ถึงวันนี้ ฉันเชื่อและยอมรับในข้อค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของ A.Einstein ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"

ปิ่นโตลดโลกร้อน

เช้าแวะไปซื้อโจ๊กเจ้าประจำมาทานรองท้อง ฉันเอาปิ่นโตจิ๋วไปใส่เพื่อลดปริมาณถุง คิดเล่น ๆ ถ้าคนไทย 70 ล้านคนหันมาใช้ปิ่นโตและกล่องที่บ้านใส่ของแทนถุงพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง คงจะสามารถลดปริมาณขยะถุงพลาสติกลงได้จำนวนมาก ว่าแล้วก็นึกถึงข้าวห่อใบตอง น้ำที่ขายโดยใส่กระบอกไม้ไผ่ หรือ กะลามะพร้าว และวัสดุธรรมชาติ หลายวันก่อนอ่านเจอว่า ม.ธรรมศาสตร์เอาจริงกับเรื่องนี้แล้ว ม.อื่น ๆ ควรทำเป็นแบบอย่างแก่ชุมชนเช่นกัน

ก่อนหน้านี้คุณป้าเล่าให้ฉันฟังว่าโจ๊กของท่านไม่ใส่ผงชูรสเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ฉันสังเกตว่าขณะเล่านัยน์ตาของท่านเปล่งประกายวิ๊ง ๆ ออกมา หน้าตาปลื้มปริ่มที่ได้ทำความดีเพื่อผู้บริโภค จากนั้นท่านก็เล่าต่ออีกว่าคุณแม่ของท่าน (คุณยาย) อายุยืนมาก 98 ปีแล้วนะ ท่านเล่าด้วยความภาคภูมิใจ แล้วท่านก็ให้เหตุผลสนับสนุนว่า ส่วนหนึ่งมาจากอาหารการกินที้สมัยก่อนแทบไม่มีสารพิษ สารเคมีเจือปนในอาหาร ปัจจุบันหลีกเลี่ยงยาก คนจึงเจ็บไข้ได้ป่วยและเสียชีวิตเร็วขึ้น ฉันจึงคิดว่าถ้าผู้ประกอบการทุกคนมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อผู้บริโภคอย่างคุณป้าท่านนี้ก็คงจะดี คนในสังคมไทยจะมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น

บ้าน : สำหรับสังคมผู้สูงอายุ

หลายวันก่อนดูทีวีช่อง 3 ดึกมาก จำไม่ได้ว่าชื่อรายการอะไร แต่เป็นรายการของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการ renovate ปรับปรุงบ้านเก่าให้แลดูสวยงาม ทันสมัยเหมาะกับการใช้งานในยุคปัจจุบัน สำหรับคืนนั้น เป็นคิวของบ้านเก่ารูปทรงโบราณหลังหนึ่งในย่านโตเกียว เป็นบ้านของคุณยายท่านหนึ่งอายุ 78 ปี แต่ยังดูแข็งแรงมาก บ้านหลังนี้คุณตากับคุณยายใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานหลายสิบปี ความทรงจำเก่า ๆ ยังแทรกตัวในทุกมุมและภายในข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน

ลูกสาวคุณยาย วัย 60 ต้น ๆ กับสามี อาศัยอยู่ต่างเมือง เธอกังวลมากเพราะแม่ (คุณยาย) ต้องอาศัยในบ้านหลังนั้นเพียงคนเดียว เพราะคุณพ่อ (คุณตา) เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายเดือนก่อน ประกอบกับบ้านที่ทรุดโทรมลง เธอจึงไม่อยากให้คุณแม่ของเธอต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียวอย่างลำบาก จึงตัดสินใจส่งเรื่องเข้ามาในรายการเพื่อขอให้ช่วยเหลือโดยเธอตั้งงบไว้ที่ 10 ล้านเยน

และแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง รายการแนะนำช่างฝีมือท่านหนึ่งมาพบกับครอบครัวของคุณยายพร้อมทั้งรับทราบข้อมูลต่าง ๆ และความต้องการที่อยากเห็นในบ้านหลังเก่าที่แปลงโฉมใหม่ หลังจากนั้นก็ให้คุณยายเก็บข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างออกให้หมด แล้วลงมือทำบ้านในเวลา 30 วัน ตามที่ทางรายการกำหนด

โจทย์ท้าทายของบ้านหลังนี้ คือ ห้องน้ำอยู่นอกตัวบ้าน คุณยายต้องวิ่งออกไปอาบน้ำนอกบ้าน โดยมีสายตาของเพื่อนบ้านและคนอื่น ๆ เห็นได้ ทางขึ้นต่างระดับ 40 เซนติเมตร ชั้น 2 บันไดชันมาก ฝ้าเพดานเก่าสามารถพังลงมาได้ทุกเมื่อ และมีแสงสว่างส่องลงมาในห้องโถงน้อย ทำให้บ้านค่อนข้างมืด ห้องนอนอยู่ชั้น 2 คุณยายปีนขึ้นไปลำบาก จึงนอน ดูทีวี และทำกิจกรรมในห้องเดียวเสร็จสรรพ งานอดิเรกของคุณยาย คือ เย็บผ้า เธอชอบนำเศษผ้าเก่า ๆ มาเย็บเป็นชุดตุ๊กตากิโมโน เธอมีความสุขกับมันมาก

เมื่อครบกำหนด คุณยายและครอบครัวก็เดินเข้ามาในบ้าน คุณยายชอบบ้านที่ปรับปรุงใหม่มาก ปลื้มมาก ชอบห้องครัว ชอบห้องนอน ชอบห้องน้ำ ชอบระเบียง ชอบไปหมด คุณยายขอบคุณช่างและทีมงาน และสัญญากับทุกคนว่าจะมีชีวิตยืนยาวเพื่อใช้สิ่งเหล่านี้ให้คุ้มค่ากับที่ทุกคนตั้งใจทำให้สุดฝีมือ...

ก่อนปิดรายการ ภาพตัดไปที่คุณยายนั่งเย็บผ้าหน้าบ้าน มีเพื่อนบ้านเข้ามาพูดคุย นั่งสนทนามากขึ้น หลายคนขอมาชมบ้านที่สวยงาม บ้านใหม่ทำให้คุณยายมีความสุขและยินดีต้อนรับเพื่อนบ้านมากขึ้นเพราะลึก ๆ คุณยายก็เหงาเช่นกัน สิ่งเหล่านี้เติมเต็มให้ชีวิตผู้สูงอายุคนหนึ่งได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

ปัจจัตตัง = learning by doing

ฟังธรรมที่แสดงโดยหลวงพ่อชา ท่านพูดถึงความรู้ที่รู้ได้ด้วยตนเอง หรือที่ทางธรรมเรียกว่า "ปัจจัตตัง" ว่าพุทธองค์สรรเสริญความรู้ที่บุคคลรู้ได้ด้วยตนเองมากกว่า ความรู้ที่คนอื่นบอกเล่ามา เช่น รสของผลไม้ชนิดนั้น ๆ เป็นอย่างไร หากเราฟัง หรือ อ่านจากที่คนอื่นบอกว่าส้มมีรส เปรี้ยวอมหวาน แตงโมมีรสหวาน มันจะไปมีประโยชน์อะไรเมื่อเราไม่ได้รู้รสของมันจริง ๆ

สอดคล้องกับที่เคยฟังธรรมเกี่ยวกับการสอนของหลวงปู่มั่นว่า ครั้งหนึ่งมีคนนิมนต์หลวงปู่มั่นไปเทศน์เรื่องการผิดศีลข้อ 5 สุราเมรัย หลวงปู่มั่นรับกิจนิมนต์แล้วก็ได้บอกกับพระลูกวัดว่าหลวงปู่จะทดลองดื่มเหล้าเพื่อจะได้รู้ว่าฤทธิ์และผลของมันเป็นอย่างไร เพราะหลวงปู่ไม่เคยลิ้มรสสุราเมรัยมาก่อน ถ้าไม่รู้จริงจะไปเทศน์ให้ใครเขาฟังเขาเชื่อได้อย่างไร

แล้วก็ถึงวันที่หลวงปู่ต้องเทศน์ให้คนที่ชอบดื่มสุราฟัง คนเหล่านั้นก็ท้วงขึ้นมาว่า หลวงปู่เอาแต่เทศน์ไม่เคยลิ้มรสสุราจริง ๆ จะรู้ได้อย่างไรกันว่ามันวิเศษแค่ไหน หรือ มีโทษอะไรบ้าง ได้ฟังดังนั้นพระลูกศิษย์จึงตอบไปว่า หลวงปู่ทดลองดื่มสุราด้วยตนเอง โดยมีพระลูกวัดเป็นพยานรับรู้การปฏิบัติเช่นนั้นของท่าน ซึ่งท่านมีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุราจะได้นำมาเทศน์สอนญาติโยมได้อย่างถูกต้องและสนิทใจว่าท่านได้สัมผัสกับสุรามาด้วยตนเองแล้ว เป็นปัจจัตตัง การปฏิบัติของหลวงปู่มั่นครั้งนั้นพระเถระมิได้ติดใจเอาความเนื่องด้วยท่านมีเจตนาบริสุทธิ์เพื่อประโยชน์ของการเทศน์ให้ผู้อื่นฟัง

ปัจจัตตัง คือ การรับรู้ได้ด้วยตนเอง พิสูจน์เอง เจอมากับตนเอง จนเข้าใจถ่องแท้ ในทางการศึกษา คือ การลงมือปฏิบัติจริง (learning by doing) นั่นเอง

ปรากฏการณ์ตูน บอดี้แสลม พ.ย.-ธ.ค.2560

เย็นวันนี้ดูการถ่ายทอดสด โครงการก้าวคนละก้าว ผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้วกับภารกิจวันที่ 20 พ.ย. เป้าหมายยอดบริจาค 700 ล้าน ระยะทาง 2xxx กิโลเมตร เส้นทางใต้สุดจดเหนือสุด ภายใน 55 วัน

ระหว่างทางพี่ตูนและทีมงานเจอทั้งสุข ทุกข์ปนกันไป ความสุข คือ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ น้ำใจ มิตรภาพ ความอบอุ่นของพี่น้องชาวไทยที่รวมพลังส่งใจมาช่วย ขณะที่ความทุกข์ก็แทรกปนทุกระยะ เช่น ความร้อนของอากาศปนกับฝนทางภาคใต้ที่สลับกันไปมา ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อและร่างกายที่ไม่เคยรับมือกับภารกิจอันหฤโหดเช่นนี้มาก่อน ทำให้พี่ตูนและทีมงานหลายคนล้มป่วย แม้จะมีแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดก็ตาม ...

โจทย์ใหญ่ คือ พี่ตูนจะทำภารกิจนี้สำเร็จหรือไม่ เคยมีคนถามคำถามนี้กับเขาช่วงก่อนเริ่มวิ่ง...พี่ตูนตอบว่า...ไม่เคยคิดเลยว่าจะไม่สำเร็จ เพราะเขามีภาพความสำเร็จรออยู่ตรงหน้า ภาพนี้ชัดเจนมาก ยิ่งใหญ่มาก ไม่มีอะไรจะมาขวางเขาได้เพราะหัวใจเขาก้าวข้ามทุกอย่างไปแล้ว หัวใจของเขาเดินทางไปถึงจุดหมายแล้ว...รอแต่ร่างกายที่กำลังเดินทางตามไป

หลายวันที่ผ่านมา เมื่อพี่ตูนบาดเจ็บ ก็เริ่มมีผู้หวังดี ยอมรับว่าหนึ่งในนั้น คือ ดิฉันด้วย เสนอแนะไปต่าง ๆ นานา ว่าอาจจะเดินสลับวิ่ง อาจจะใช้ตัวช่วยปั่นจักรยานบางช่วงได้มั้ย ลดระยะทางการวิ่งแต่ละวันลงหน่อยได้มั้ย มีวันพักเพิ่มได้รึเปล่า บางคนก็เสนอไปว่าถ้าได้ยอดบริจาคครบ 700 ล้านแล้วหยุดเลยได้มั้ย ไม่ต้องไปถึงแม่สายหรอก มันยังอีกยาวไกล ไม่ต้อง 55 วันได้มั้ย ยืดออกไปหน่อยก็ได้ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ คือ บททดสอบที่ยิ่งใหญ่ คือ ขวากหนามที่มหาบุรุษต้องเผชิญและก้าวข้ามมันไปให้ได้ ดังนั้นจากที่เล่ามาข้างต้น ความยาก ความท้าทายที่พี่ตูนเจอจึงมิได้ทำให้ภาพความฝันของเขาซีดจางลงเลย เพราะอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า พี่ตูนได้วิ่งถึงปลายทางและทำภารกิจนี้สำเร็จตั้งแต่วันที่เขาประกาศกับชาวโลกแล้ว...ความมุ่งมั่น ตั้งใจ มีวินัย โดยเฉพาะความเพียรซึ่งรวมอยู่ในบารมี 10 ประการ จะทำให้ผู้ชายตัวเล็ก ๆ แต่หัวใจยิ่งใหญ่คนนี้เดินทางไปถึงเชียงรายในวันที่ 25 ธ.ค. ณ เชียงรายอย่างแน่นอน ...เป็นกำลังใจให้ค่ะ :)

Case Study ธรรมาภิบาล

แวะซื้อข้าวและขนม นึกขึ้นได้ว่าทิชชูหมดสต็อคเลยแวะซื้อที่ร้านเจ้าประจำข้าง ม.  น้องผู้ช่วยเจ้าของร้านทักขึ้นมาว่า "ใช่พี่รึเปล่าคะที่ซื้อไม้ถูพื้นไปวันก่อน พี่ลืมตังค์ทอน 30 บาทค่ะ " ขุ่นพระ! นานมาแล้ว เธอยังจำได้ ฉันจำไม่ได้ว่าใช่รึเปล่าแต่ก็รับเงินทอนมาไม่ให้ขัดศรัทธา เพราะฉันจำได้ลาง ๆ ว่าฉันแวะซื้อไม้ถูพื้นอันยาวสีเขียวเมื่อหลายเดือนก่อนไว้ขัดหลังบ้านช่วงหน้าฝน ผ่านมาหลายเดือนแล้วเขายังจำได้และนึกที่จะคืนเงินทอนให้กับฉัน ...ความอิ่มเอมใจบังเกิดขึ้นในหัวใจอย่างน่าอัศจรรย์ 

#ความซื่อสัตย์ของพวกเขา คือ คุณธรรมสำคัญที่ฉันสัมผัสได้ ฉันกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" ทั้งด้วยวาจาและขอบคุณด้วยหัวใจ แล้วยิ้มหวานให้ การค้าขายไม่ว่าจะธุรกิจเล็กหรือใหญ่ถ้ามีคุณธรรมข้อนี้ล้วนมีความเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ 

ฉันมักจะซื้อของกับร้านค้าเหล่านี้เพราะฉันมองว่า ร้านค้าเล็ก ๆ ทำให้เราสามารถพูดคุยและสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนซื้อ-คนขาย บางคนต่อรองราคาเล็ก ๆ น้อย หรือบางทีถ้าซื้อเยอะเจ้าของร้านอาจลดราคาให้ด้วยความเสน่หา มันคือ #การค้าขายที่มีชีวิตชีวา น่าแปลกที่ฉันสัมผัสสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ในห้างสรรพสินค้าที่คนทั่วไปใช้บริการ

Case Study นโยบายสาธารณะ

ชีวิตสัมพันธ์
"ยามนี้เราจึงมาร้องเพลง เพื่อกล่อมบรรเลงเสียงเพลงจากใจ เมืองนั้นมีความศิวิไล เมื่อมีป่าไม้ ต้นน้ำ ลำธาร มีนกกาหากินบินว่อน เนื้อแม่ลูกอ่อนมีนมให้ลูกกิน คนหากิน สัตว์ก็หากิน เราไม่เบียดเบียนกันและกัน ต้นไม้งาม คนงดงาม งามน้ำใจไหลเป็นสายธาร ชุบชีวิตทุกฝ่ายเบิกบานมีคน มีต้นไม้ มีสัตว์ป่า" //คาราบาว

ดูข่าวเรื่องช้างและสัตว์ป่าอื่น ๆ ออกมาหาอาหารและบุกรุกในแปลงเกษตรของชาวบ้าน เช่น นาข้าว สวนปาล์ม ไร่อ้อย ไร่สับปะรด ช่วงเก็บเกี่ยวเกษตรกรหลายรายรีบเก็บเกี่ยวก่อนถึงเวลาเพราะเกรงว่าถ้าช้างป่าเข้ามาจะเสียหายมาก บางคนกลางวันเก็บเกี่ยวพืชผลกลางคืนผลัดกันนอนเฝ้า บางรายใช้รั้วไฟฟ้าล้อมรอบแปลงเกษตร หนักกว่านั้นก็สังหารโหดด้วยปืน เช่น กรณีกระทิงถูกยิงด้วยเหตุผลที่มนุษย์บอกว่าทำไปเพื่อป้องกันตนเองเกรงว่ากระทิงจะเข้ามาทำร้าย

ประเด็นเหล่านี้ ชวนคิดว่าชาวบ้านบุกรุกป่าก่อน? เมื่อไม่มีป่า สัตว์ไม่มีที่อยู่และอาหาร พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน หากินที่ไหน ...การมีประชากรมนุษย์มากเกินไปก็อาจกระทบระบบนิเวศน์ คือ มนุษย์จะแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ บุกรุก และเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นเช่นกัน...ประเด็นนี้นักนโยบายและแผน และทุกคนจะแก้ไขอย่างไร