วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ขอฝนหน่อย



โดย อ.ประทุมทิพย์  ทองเจริญ
        หน้าร้อนแบบนี้ อุณหภูมิภายนอกและภายในสูงพอๆกัน ยิ่งบางคนมีความดันทุรังสูงอีก (ภาษาบ้านเราเรียกว่า"ดันหวัน")ไม่นึกเลยว่าในช่วงชีวิตจะได้ยินข่าวการเสียชีวิตเพราะอากาศร้อน แต่ที่ผ่านมาก็ได้ยินการเสียชีวิตเพราะอากาศหนาวหลายราย เกิดมาเป็นคนนี่ช่างตายง่ายดาย อย่างที่คนแก่เคยบอกไว้ว่า"การมีชีวิตอยู่ยากกว่าการตาย"น่าจะจริง  
       ด้วยเหตุนี้ ขณะที่อมยิ้มสอนหนังสือช่วงบ่ายจึงบอก นศ.ว่า อ.อนุญาตให้ไปล้างหน้าได้นะ ไม่อยากให้มีการตายในห้องเรียนเกิดขึ้น (กลัวดัง)นศ.หัวเราะชอบใจกันใหญ่ (อมยิ้มคิด :แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงคงขำไม่ออกกันล่ะครับพี่น้อง) ฟังข่าวจากโทรทัศน์ทราบมาว่าช่วงนี้แมวทำงานหนัก เพราะต้องโดนจับมาทำพิธีขอฝน ในภาพข่าวมีการเหวี่ยงแมวไปมาจนมันตาลาย(วิ๊ง วิ๊ง วิ๊ง ๆๆๆ)บางตัวถึงกับอยากได้ถ้วยทองมาทาถู ทาถูเพื่อลดอาการวิงเวียนศีรษะ บางตัวพยายามมุดเข้ากรงตามเดิม บางตัวถึงกับหนีเข้าป่าไปเลยก็มี (เหวี่ยงตูดีนัก) อย่างไรก็ตาม พิธีกรรม (กรรมจริงๆ) เพื่อขอฝนมีมาช้านาน เพราะฝนฟ้าเป็นสิ่งที่ขอและห้ามกันยาก นึกจะตกก็ตก เวลาอยากให้ตกไม่ตก เวลาอยากให้หยุดก็ดันตก (ซะงั้น) จึงต้องเดือดร้อนแมว ด้วยความเชื่อที่ว่าการขอฝนต้องขอกับเทวดา ไม่ได้ของ่ายดายเหมือนในคอนเสิร์ตพี่หนุ่ย(อำพล ลำพูน) แบบว่า "ขอฝนหน่อย" บางวันเทวดาทำให้ผู้คนดีใจเก้อ เพราะท่านส่งรามสูรย์มาข้างขวานอยู่นาน ขว้างไปมา หยอกล้อกับนางมณีเมขลา จนผู้คนคิดว่า "ตกแน่นอน" "ตกชัวร์" สุดท้ายไปตกที่อื่น (ผู้คนในละแวกนั้นก็รับประทานแห้วกันไปคนละกระป๋อง 2 กระป๋อง) แต่ที่เป็นของจริง ไม่ต้องง้อเทวดาก็ "ฝนหลวง" ไง ได้ยินเสียงเครื่องบินมาวนเวียนครั้งใด "ตกแน่นอน" "ตกชัวร์" และแล้วหลังจากนั้นไม่นานเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมา นี่คือความภาคภูมิใจที่เรามีกษัตริย์นักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่ สั่งฟ้าฝนให้ตกต้องตามฤดูกาลได้ เพื่อประชาชนคนไทย "ประชาชนของพระองค์"
        อมยิ้มคิดว่าคนไทยคงทราบดีว่าฝนนี้มาจากไหน เมื่อครั้งที่ดูโทรทัศน์ และเคยเห็นในปฏิทินข้างฝาบ้านจะเห็นภาพพระเสโท(เหงื่อ) ที่ไหลลงมาตรงกลางพระนาสิก(จมูก) ขณะที่พระองค์นั่งคุกเข่าคุยกับประชาชนเพื่อถามสารทุกข์ อมยิ้มคิดว่าพระเสโท(เหงื่อ)ของพระองค์ไม่ได้เหือดแห้งไปไหน แต่มันได้หลอมรวมมาเป็นเม็ดฝนที่พระองค์เก็บสะสมไว้ รอเวลาเมื่อประชาชนต้องการก็จะปล่อยมันลงมาเพื่อความชุ่มชื้นให้กับผืนแผ่นดิน จนกลายมาเป็นฝนเทียม หรือ ฝนหลวง เพื่อให้คนไทยได้มีรอยยิ้มกันถ้วนหน้า เพราะนั่นหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ และการทำเกษตรกรรมจะกลับมาอีกครั้ง นี่คือพระราชภารกิจของพระองค์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่        
     ถึงวันนี้อมยิ้มรู้ดีว่า การทำเพื่อผู้อื่นนั่นยิ่งใหญ่กว่าการทำอะไรเพื่อตนเอง พระองค์ทรงดำเนินรอยตามพระบิดา (กรมหลวงสงขลานครินทร์) ที่ทรงมอบปณิธานว่าขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง..."จึงอยากให้นักการเมืองไทย นักปกครอง นักบริหาร ที่เป็นผู้นำของมวลชนตระหนักและนำสิ่งนี้ไปยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตาม โดยดูพระองค์เป็นแบบอย่าง พูดน้อย ฟังมาก ทำมาก ที่สำคัญนอกจากทศพิธราชธรรมแล้ว อมยิ้มคิดว่าพระองค์ทรงใช้หัวใจ (พระราชหฤทัย)ในการปกครองประชาชนของพระองค์อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น