ประทุมทิพย์ ทองเจริญ
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ทุกวันนี้
ใครเก่งภาษาอังกฤษถือว่าได้เปรียบมากในทุกวงการ สำหรับการศึกษาระดับปริญญาเอกก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้และทักษะภาษาอังกฤษในระดับดี
ถึงดีมากเช่นกัน เพราะบุคคลเหล่านี้
เปรียบเสมือนสมองและคลังความรู้ที่จะเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆให้เกิดขึ้นกับชุมชน
สังคม ประเทศ และระดับนานาชาติให้เป็นที่ประจักษ์ในเบื้องหน้า
การศึกษาปริญญาเอกในประเทศส่วนใหญ่จะมีการวัดความรู้ภาษาอังกฤษก่อนจะรับเข้าศึกษาต่อ
ซึ่งพบว่าสถาบันการศึกษาบางแห่งมีการจัดสอบในลักษณะนี้ด้วยมาตรฐาน หรือ
แบรนด์ของตนเอง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมีการสอบ CU-TEP ม.ธรรมศาสตร์ จะมีการสอบ TU-GET และ ม.สงขลานครินทร์ จะมีการสอบ PSU-GET
เป็นต้น
หรือบางแห่งก็ใช้ผลคะแนนสอบซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับอย่าง TOEFL
และ
IELTS มาเป็นเกณฑ์ ต่อไปนี้ คือ
ความรู้และประสบการณ์ของผู้เขียนเกี่ยวกับการสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษซึ่งจะเน้นที่รูปแบบ IELTS
และข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอกในต่างประเทศที่จะมาแบ่งปันกับชาว
มรส. ดังนี้
ระบบการสอบ
มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกให้การยอมรับผลคะแนนภาษาอังกฤษ
๒ ระบบ คือ TOEFL(The Test of English as a Foreign Language) ค่ายของสหรัฐอเมริกา และ IELTS
(The International English Language Testing System) ค่ายของอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น โดยระบบ IELTS จะแยกสอบเป็น 2 ประเภท คือ แบบทั่วไป (General) และแบบวิชาการ (Academic) ซึ่งผู้ที่ประสงค์จะนำผลการสอบไปใช้สำหรับสมัครเข้าศึกษาต่อจะต้องสอบในรูปแบบหลังเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เคยได้ยินผู้ที่ไปศึกษาต่อ
ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาเล่าให้ฟังว่า
สหรัฐอเมริกาจะเข้มงวดเรื่องกฎเกณฑ์มาก กล่าวคือ จะยอมรับเฉพาะผลการสอบ TOEFL
เท่านั้น
แต่ในปัจจุบันมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกายอมรับผลคะแนน IELTS มากขึ้น นอกจากนี้
ยังต้องสอบวัดความรู้และทักษะอื่นๆด้วย เช่น การสอบวัดเชาวน์ปัญญาทั่วไป
สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีในประเทศสหรัฐอเมริกา
หรือที่เรียกว่า GRE (Graduate Record Examination) และ
การสอบวัดความสามารถของผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกสาขาบริหารธุรกิจ
หรือที่เรียกว่า GMAT (The Graduate Management Admission Test) ซึ่งค่าใช้จ่ายในการสอบ แต่ละประเภทจะใกล้เคียงกัน ครั้งละประมาณ ๖,๕๐๐ – ๗,๐๐๐ บาท (www.englishthailand.com)
สนามสอบ IELTS
สถาบันภาษาที่มีการจัดสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษระบบ
IELTS ในประเทศไทย
มี ๓ สถาบัน คือ IDP Education Service
British Council และ Cambridge แต่โดยมากคนไทยจะนิยมสอบกับ ๒
สถาบันแรกมากกว่าเพราะก่อตั้งมานานและเป็นที่รู้จักดี
สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
แต่จะมีสาขา หรือ
ศูนย์จัดการสอบและแนะแนวการศึกษาต่อตามเมืองใหญ่ๆของแต่ละภาคด้วย เช่น เชียงใหม่ หาดใหญ่
ขอนแก่น เป็นต้น
ซึ่งการสอบในต่างจังหวัดจะจัดขึ้น ๑ ครั้ง/เดือน หรือ เดือนเว้นเดือน
แต่ในกรุงเทพมหานครมีการจัดสอบสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้ง เช่น IDP จะมีการจัดสอบวันพฤหัสบดีในบางสัปดาห์
ณ สำนักงานใหญ่ด้วย
ที่ผ่านมาศูนย์ภาษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีได้รับความไว้วางใจจาก
IDP Education Service ให้เป็นสนามสอบ IELTS
มาแล้ว
๒ ครั้ง
มีทั้งคนภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยให้ความสนใจสมัครเต็มทุกรอบ
ล่าสุดเพิ่งจะมีการจัดสอบไปเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ณ
อาคารทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ค่าสมัครสอบ
ค่าสมัครสอบรวมค่าธรรมเนียม ประมาณ ๖,๕๐๐ บาท หากใครอยู่ต่างจังหวัดก็จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ
เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก เพิ่มขึ้นรวมแล้วประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท / ครั้ง ยิ่งกว่านั้น
อาจจะต้องอบรม หรือ ติวเข้มก่อนสอบ เพื่อให้ทราบเทคนิค วิธีการ
และแนวทางในการทำข้อสอบแต่ละทักษะ
ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นบาท ที่ผ่านมา รศ.สุณีย์ ล่องประเสริฐ
รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์
ได้ดำเนินการตามแนวนโยบายการพัฒนาบุคลากรสายวิชาการของมหาวิทยาลัย
ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างต่อเนื่อง
โดยจัดให้มีการอบรมภาษาอังกฤษขั้นสูง
ระยะเวลา ๓-๔ สัปดาห์
ให้แก่บุคลากรสายวิชาการเป็นประจำทุกปีการศึกษา
ซึ่งเคยจัดมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งละประมาณ
๒๐-๓๐ คน โดยมีเจ้าภาพ คือ กองการเจ้าหน้าที่ และ ศูนย์ภาษา
เป็นผู้ดำเนินการจัดอบรมและประสานกับวิทยากรจาก IDP Education Service ซึ่งมหาวิทยาลัยออกค่าใช้จ่ายในการอบรมให้ทั้งหมด รวมถึงมีอาหารว่างสำหรับผู้เข้าอบรมและวิทยากรตลอดหลักสูตรด้วย ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท (๑๕,๐๐๐ บาท /คน)
ล่าสุดกำลังจะมีการจัดอบรมภาษาอังกฤษขั้นสูงอีกครั้ง ช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๓
นี้
ซึ่งรอบนี้มีอาจารย์จากคณะต่างๆสนใจสอบคัดเลือกเพื่อเข้ารับการอบรมกว่า ๙๐
คน แต่จะมีผู้ที่ผ่านการคัดเลือกที่ได้คะแนนสูงสุดไม่เกิน ๒๐
คนเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้เข้ารับการอบรม
ใครจะเป็นผู้โชคดีในรอบนี้โปรดติดตาม
ส่วนที่เหลือจะจัดอบรมโดยศูนย์ภาษาต่อไป
จำนวนครั้งของการสอบ
ผู้ที่มีความประสงค์จะสอบสามารถสอบได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์
โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ประมาณหนึ่งหมื่นบาทต้นๆ การจะสมัครสอบที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรนั้น
เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึงเงินเดือนกว่าครึ่ง หรือ
เกือบทั้งเดือนหมดไปกับการสอบในครั้งนั้นไปแล้ว
ซึ่งบางคนอาจจะต้องขอทุน พม. (พ่อกับแม่)เพิ่มเติม ในส่วนนี้ ผู้บริหาร
มรส.ชุดปัจจุบันได้มีนโยบายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเหล่านี้แก่บุคลากรสายวิชาการที่สอบ
IELTS ได้ระดับคะแนนรวม ๕.๕ ขึ้นไป สามารถนำหลักฐานต่างๆ ได้แก่
ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าสมัครสอบ
เพื่อมาขอเบิกค่าใช้จ่ายย้อนหลังได้ครบทุกบาททุกสตางค์
ตามหลักเกณฑ์ในประกาศของมหาวิทยาลัย
ที่สำคัญใช่ว่าสอบครั้งเดียวจะผ่านแล้วผ่านเลย
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ของสถาบันการสอบเหล่านี้
พบว่าจำนวนครั้งของการสอบต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่ ๕ ครั้งขึ้นไป หรือบางคนนับสิบครั้ง(กว่าจะสอบผ่าน)
เพราะนอกจากคะแนนรวม(Overall) แล้ว
ทุกทักษะ (ฟัง พูด อ่าน และ เขียน) จะต้องผ่านตามเกณฑ์ที่ระบุด้วย
ผลสอบแต่ละครั้งถ้าผ่านในระดับที่ผู้สอบพอใจสามารถเก็บผลคะแนนไปใช้สมัครเรียน
สมัครเข้าอบรม หรือ ขอทุนทำกิจกรรมต่างๆกับมหาวิทยาลัย หรือ
องค์กรต่างประเทศได้ภายในระยะเวลา ๒ ปี
ระดับคะแนนที่ยอมรับ
เมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้ว ระดับผลคะแนน IELTS
ที่มหาวิทยาลัยต่างประเทศยอมรับให้เข้าศึกษาต่อ
คือ ระดับผลคะแนนรวม ๕.๕
แต่ต่อมามีการปรับคะแนนจาก ๕.๕ เป็น ๖.๕ ทั่วโลก
ยกเว้นสาขาวิชาภาษาอังกฤษจะต้องมีผลคะแนนรวม
๗.๕ ขึ้นไป (จากคะแนนเต็ม ๙ ทุกทักษะ) การคำนวณคะแนนรวม
มีที่มาจากการนำคะแนนแต่ละทักษะมารวมกันแล้วหาร ๔
เช่น ฟัง (listening) ๕.๕
พูด (Speaking) ๕.๕ อ่าน (Reading) ๖.๐ และ เขียน (Writing) ๖.๐
คะแนนรวม เท่ากับ (๕.๕+๕.๕+๖.๐+๖.๐)/๔ = ๖.๐ เป็นต้น โดยเฉพาะคะแนนทักษะการเขียน
ซึ่งถือว่ามีความสำคัญที่สุดสำหรับการศึกษาระดับปริญญาเอก
เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการศึกษาแบบเน้นการทำวิจัย (Research)
จำนวนที่รับ
การศึกษาระดับปริญญาเอกต่างประเทศ
ใช่ว่าใครจะเรียนก็เรียนได้เพราะแต่ละปีการศึกษา สาขาวิชาต่างๆจะรับนักศึกษาปริญญาเอกเพียง ๕-๑๐
คนเท่านั้น จากผู้สมัครหลายร้อยคน หรือ
เกือบ ๑,๐๐๐
คนจากทั่วโลก สาเหตุที่รับจำนวนน้อย เพราะว่าเขาจะเน้นที่คุณภาพ ไม่ได้เน้นที่ปริมาณ
ที่สำคัญเมื่อบุคคลเหล่านี้สำเร็จการศึกษาไปแล้วชื่อมหาวิทยาลัยจะติดตัว
ผู้นั้นไปตลอดชีวิต ดังนั้น จึงทำการคัดเลือกอย่างดีเพื่อรักษามาตรฐานชื่อเสียง
และภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆด้วย
ต่างจากปริญญาตรีและปริญญาโท
ซึ่งส่วนใหญ่จะรับเข้าศึกษาเกือบทั้งหมด เพราะที่นั่ง(จำนวนที่รับ)
มีมากกว่าหลายเท่า
เกณฑ์การคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ
มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
จะมีเกณฑ์การรับนักศึกษาปริญญาเอกเหมือนๆกัน
โดยคุณสมบัติสำคัญที่ผู้สมัครจะต้องมีอย่างน้อย ๘ ประการ ดังนี้
1. ผลคะแนนภาษาอังกฤษตามเกณฑ์ที่กำหนด
2. ผลการเรียนระดับเกียรตินิยม
(ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท)
3. ถ้าสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีกับปริญญาโทคนละสาขาจะต้องเรียนปริญญาโทซ้ำอีก
๑ ใบเพื่อตอกย้ำความเข้มข้นทางวิชาการและทฤษฎีในศาสตร์นั้นๆ
4. มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ระดับชาติ หรือ
นานาชาติ (หนังสือ ตำรา บทความ
ผลงานวิชาการอื่นๆ)
5. ความเชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นๆ เช่น
ตำแหน่งทางวิชาการ
6. เป็นนักวิชาการ กล่าวคือ
ถ้าผู้นั้นสำเร็จการศึกษาไปแล้วจะต้องได้นำความรู้ไปใช้ หรือ สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ
ให้เกิดคุณูปการกับสังคมและประเทศต่อไป
7. หัวข้อ และ โครงร่างงานวิจัย (Proposal)
จะต้องเป็นที่สนใจของอาจารย์ที่ปรึกษา
(ออสเตรเลีย ส่วนใหญ่เรียกที่ปรึกษาว่า Supervisor ขณะที่อังกฤษและประเทศอื่นๆ
เรียกที่ปรึกษาว่า Advisor)
8. ผู้สนับสนุนทุนการศึกษา(รัฐบาล นายจ้าง
หรือ ครอบครัว) กล่าวคือ
ถ้ามีสังกัดจะมีโอกาสที่มหาวิทยาลัยต่างประเทศจะพิจารณารับเข้าศึกษาต่อมากกว่าผู้สมัครอิสระ
ทั้งหมดนี้
เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนหนึ่งของผู้เขียนซึ่งใช้เวลาในการเตรียมตัวสำหรับการไปศึกษาต่อต่างประเทศเกือบ
๒ ปี
และกำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อในเร็ววันนี้
ส่วนไปแล้วจะเป็นอย่างไร
ไปแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง หรือ จบปริญญาเอกแล้วดีอย่างไร คำถามเหล่านี้
ยังรอคอยคำตอบและคำชี้แนะจากผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกมาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันระหว่างชาว
มรส. ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น