ย่ำแดนอาทิตย์อุทัย
ประทุมทิพย์ ทองเจริญ / สรุป
1.ความทันสมัยและเทคโนโลยี ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก
ภายหลังจากที่สูญเสียจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ทำให้ญี่ปุ่นแทบจะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากมันสมองและสองมือที่พวกเขาเหลืออยู่
กระทั่งได้พัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ สู่สายตาชาวโลก
รวมถึงพัฒนามาตรฐานและระบบประกันคุณภาพของสินค้าและบริการให้เป็นที่น่าเชื่อถือภายใต้คำว่า
“Made in Japan”
เทคโนโลยีสารสนเทศที่ว่านี้มีตั้งแต่การใช้ในชีวิตประจำวัน
เช่น ห้องน้ำ ไปจนถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ญี่ปุ่นนำไปช่วยเหลือเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่าง
Olympic London 2012 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
รวมถึงเทคโนโลยีดาวเทียมและอวกาศ เป็นต้น
2 บุคลิกของคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเป็นคนที่มีความขยัน
ซื่อสัตย์ อดทนสูง มีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิต มีความรับผิดชอบ
รักเกียรติยศและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลและประเทศอย่างมาก หรือ อาจเรียกว่ามีเลือดของความเป็นชาตินิยมสูง
ด้วยสภาวการณ์ที่แข่งขันสูงในญี่ปุ่นจึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความเครียดแฝง
สะสมวันแล้ววันเล่ากระทั่งต้องหาวิธีการระบายออก เช่น การร้องเพลงคาราโอเกะ
เกมส์ขว้างแก้ว จาน ชาม หรือแม้กระทั่งการคิดสั้นฆ่าตัวตาย
ซึ่งมัคคุเทศก์บอกกับคณะศึกษาดูงานว่าบุคลิกของคนญี่ปุ่นมี 2
ด้าน “ภายใน-ภายนอก” หรือ
“อุระ โอโมเตะ” กล่าวคือ คนภายนอกมองคนญี่ปุ่นว่ามีความสดใส ร่าเริง
สนุกสนานและมีความสุขกับการใช้ชีวิตและการทำงาน
แต่ภายในซึ่งคนญี่ปุ่นทราบดีว่าแฝงไปด้วยความเครียด กดดัน
ในสภาวะของการแข่งขันและค่าครองชีพสูง เป็นต้น
ซึ่งตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกอย่างมีสองด้านเสมอ ไม่ขาวก็ดำ
ไม่มีใครหรือสิ่งใดในโลกสมบูรณ์แบบ ซึ่งหากญี่ปุ่นแก้ไข หรือ เยียวยาตรงนี้ได้ คนญี่ปุ่นจะเป็นพลเมืองที่วิเศษมาก
3 วัฒนธรรม ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม จากการได้ไปเยือนที่ญี่ปุ่น พบว่าคนญี่ปุ่นมีความตระหนักในเรื่องการรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมที่ดีงามเพื่อคนในชาติและชาวโลกที่มาเยือนได้ศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรมอันสะท้อนอัตลักษณ์และจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่น รวมถึงการรักษาธรรมชาติ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สังเกตได้จากการที่คนญี่ปุ่นจะเปิดเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิ 28-30 องศาเซลเซียส เพื่อประหยัดพลังงาน และการนิยมดื่มน้ำขวดเล็กเพื่อให้ดื่มหมดภายในครั้งเดียว (ป้องกันการดื่มทิ้งๆ ขว้างๆ) ตลอดจนการขุดเจาะอุโมงค์ผ่านภูเขาโดยใช้วิธีการขุดเจาะแทนการระเบิดให้แยกออกจากกัน เป็นต้น เหล่านี้ หากมองจากคนภายนอกจะพบว่าญี่ปุ่นได้ผสานวัฒนธรรม ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเข้ากันอย่างลงตัว พร้อมๆกับการก้าวหน้าทางเทคโนโลยีโดยที่มิได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด
4 ความเอาใจใส่ต่อคุณภาพชีวิตของพลเมือง ตลอดการศึกษาดูงาน 3
วัน
พบว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีความเอาใจใส่ต่อคุณภาพชีวิตของพลเมืองในประเทศของเขาอย่างมาก ทั้งเรื่องอาหารการกินที่ปลอดภัยจากสารพิษ
การทำถนนหนทางที่สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย
การทำกำแพงสูง 2-3
เมตรให้มีลักษณะโค้งออกมาเพื่อป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกเข้าไปในตัวอาคาร ตลอดจนน้ำประปาดื่มได้
และส้วมสาธารณะที่สะอาดและทันสมัย เป็นต้น เหล่านี้
สะท้อนถึงความเอาใจใส่ต่อพลเมืองที่รัฐบาลญี่ปุ่นมอบให้รวมทั้งความเท่าเทียมและเสมอภาคด้วยการกำหนดราคาสินค้าและบริการทั้งคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติในราคาเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยก เป็นต้น
5 การรักษาความปลอดภัยในองค์กร จากการศึกษาดูงาน พบว่าการรักษาความปลอดภัยในการติดต่อกับหน่วยงานของญี่ปุ่นมีสูงมาก เห็นได้ชัดเจนจากติดต่อประสานเพื่อการศึกษาดูงานในหน่วยงานของญี่ปุ่นทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ JICA (The Japan International Cooperation Agency) MEXT (Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology) และ GRIPS (National Graduate Institute for Policy Studies) พบว่า บุคคลภายนอกที่จะเข้ามาติดต่อ ไม่สามารถเดินเข้าไปในหน่วยงานดังกล่าวได้โดยพลกาล ต้องรออยู่บริเวณที่นั่งรอ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เราติดต่อประสานมาต้อนรับและพาคณะศึกษาดูงานขึ้นไปตามภารกิจที่ได้ติดต่อล่วงหน้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้ว ในบ้านเรายังขาดความตระหนักในเรื่องนี้ เปิดโอกาสให้คนภายนอกเข้านอกออกในได้สะดวก และเข้า-ออกภายในหน่วยงานได้ง่าย เช่น คนขายประกัน เจ้าหน้าที่ธนาคารที่มาขายบัตรเครดิต หรือแม้แต่กลุ่มมิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวเข้ามาเพื่อลักเล็กขโมยน้อย โจรกรรม หรือ ก่ออาชญากรรม เป็นต้น ดังนั้น ประเด็นนี้จึงควรแก่การนำมาเป็นแบบอย่างในบ้านเราเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่พนักงานและองค์กรมากขึ้น
6. การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
ที่ได้รับจากการศึกษาดูงาน
ณ ต่างประเทศ ซึ่งมีลักษณะต่างที่ ต่างถิ่น และต่างวัฒนธรรม
ทำให้คณะนักศึกษาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากในหนังสือ ตำรา
ซึ่งเป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary
Data) แต่การได้มาศึกษาดูงานในครั้งนี้เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
ซึ่งจะได้รับข้อมูลแบบปฐมภูมิ (Primary Data) ได้เห็น
ได้สัมผัส จากของจริง สอดคล้องกับการศึกษาทางเลือก และสำนวนไทยที่ว่า “สิบปากว่า
ไม่เท่าตาเห็น…”
ซึ่งการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษาควรสนับสนุนการศึกษาดูงานนอกสถานที่ทั้งภายในประเทศ
และภายนอกประเทศมากขึ้น
เพื่อเติมเต็มความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้เรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น