วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ก่อนที่สัตว์สายเลือดไทยจะสูญพันธุ์

ประทุมทิพย์ ทองเจริญ
มติชนรายวัน 26 ตุลาคม 2552

ผู้เขียนไม่ได้อยู่ในกลุ่มนักอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องราวการทารุณกรรมสัตว์ ได้เห็นภาพสัตว์บาดเจ็บที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ล้วนทำให้จิตใจหดหู่ และอดคิดไม่ได้ว่า แม้แต่คนยังรักชีวิต สัตว์ก็คงรักชีวิตของมันเช่นกัน แต่มันไม่มีปากเสียง 

บางคนมองเห็นปัญหาแต่ก็เพิกเฉย คนในสังคมกำลังดูดายเสมือนหนึ่งปัญหาข่มขืน ปัญหาฆ่ากันตาย  คนในสังคมกำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่ร่วมกันแก้ปัญหาเหล่านี้ หลายคนให้ความสำคัญแต่เฉพาะปัญหาปากท้อง (เศรษฐกิจ) แต่หารู้ไม่ว่าปัญหาสังคมก็มีความรุนแรงไม่แพ้กัน รวมถึงสังคมของสัตว์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตร่วมโลกของเราด้วย สมัยเรียนประถมศึกษาครูเคยตั้งคำถามว่า หากโลกนี้ไม่มีพืชนักเรียนทราบหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือ สิ่งมีชีวิตในโลกทุกชนิดจะตายหมด เป็นไปตามกฎห่วงโซ่อาหาร เนื่องจากพืชถือเป็นผู้ผลิต ที่เป็นทั้งอาหาร ผลิตน้ำออกมาในกระบวนการสังเคราะห์แสง รวมถึงคายก๊าซออกซิเจนออกมาให้เราได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไป  นักเรียนในชั้นจึงถามต่อไปว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีสัตว์จะเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือ คนก็จะยังมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความยากลำบาก เพราะปัจจุบันคนเราต้องพึ่งพาอาศัยสัตว์ในการดำรงชีวิต แล้วก็มีคนถามต่อไปอีกว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีคน พืชและสัตว์จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่  คำตอบคือ สองสิ่งนี้จะอยู่ได้อย่างสบาย ดังนั้น ทั้งพืช และสัตว์จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และถือว่ามีบุญคุณต่อคนทั้งโลกอย่างมหาศาล และคนจะขาดสองสิ่งนี้มิได้เลย
         คำถามต่อไปคือ ปัจจุบัน เราได้ปฏิบัติตนกับสองสิ่งนี้อย่างไร คำตอบคนในสังคมคงทราบดี ต้นไม้ในประเทศไทยถูกลักลอบตัดจนหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่กล้าที่จะรายงานตัวเลขที่แท้จริงออกมาเพราะเกรงว่าผู้คนในสังคมจะตกใจ แต่ถ้าดูจากภาพถ่ายผ่านดาวเทียมแล้ว เราจะพบว่าพื้นที่สีเขียวของเราหายไปกว่า 80% ของประเทศ ที่เหลือเป็นภูเขาหัวโล้น ซึ่งปัจจุบันหลายพื้นที่ก็ให้สัมปทานภูเขาให้เอกชนระเบิดภูเขานำดิน หิน ทรายไปทำประโยชน์ได้โดยจ่ายค่าตอบแทนแก่รัฐ จะว่าไปแล้วภูเขาเปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ของต้นไม้ ป่าไม้ เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารน้อยใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด รวมถึงเป็นแหล่งผลิตอาหารและยารักษาโรคให้คนอีกด้วย
เมื่อไม่มีที่อยู่ สัตว์ป่าจึงเร่ร่อนออกมาหากินในพื้นที่ราบ ตามหมู่บ้านคน ถูกจับไปฆ่าแกงเป็นว่าเล่น หรือไม่หากเผลอไผลไปลักขโมยพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้าน  สัตว์เคราะห์ร้ายจึงถูกลวดหนามไฟฟ้าช็อร์ตจนตาย หรือไม่ก็นอนตายในสภาพน้ำลายฟูมปากเพราะกินพืชผลที่ใส่ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีเข้าไป 
มีสัตว์หลายประเภทที่ถูกทารุณกรรมหลากหลายรูปแบบจากคน จะว่าไปแล้วในสังคมของเรามือมนุษย์แฝงอยู่ด้วย คนกลุ่มนี้จะมีลักษณะนิสัยโหดร้าย ป่าเถื่อน ชอบรังแกสัตว์ ขาดความเมตตา บางครั้งอาจถึงขั้นเข่นฆ่ามนุษย์กันเองด้วยซ้ำ  ตัวอย่างเช่น ช้าง ที่เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ก็มีชะตากรรมไม่ต่างกับบรรดาสัตว์อื่นของไทย เช่น การใช้มีดสับที่ศีรษะ พาไปเดินเร่ร่อนขอทานข้างถนน หรือนำไปแสดงโชว์ผาดโผนลักษณะผิดธรรมชาติ เป็นต้น

เคยมีคนถามให้ได้ยินว่า รัฐบาลไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงช้างหรืออย่างไร จึงปล่อยให้สัตว์คู่บ้านคู่เมืองต้องตกระกำลำบาก อดหลายมื้อ นานๆ จึงจะได้กินสักครั้ง เคยมีคนไปสัมภาษณ์ควาญช้างที่นำช้างออกมาขอทานตามเมืองใหญ่ซึ่งออกอากาศทางรายการโทรทัศน์ เจ้าของช้างตอบว่าพวกเขาไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงดูมัน เพราะช้างตัวโตกินอาหารจำนวนมาก บางคนได้รับช้างเป็นมรดกจากบรรพบุรุษจึงรู้สึกผูกพัน ไม่อยากขาย อยากเก็บไว้เป็นสมบัติติดตัวจนกว่าจะตาย จึงพามันมาขอทานเสี่ยงตายบนท้องถนนดีกว่าอดตายทั้งคนทั้งช้าง ปัญหานี้จะทำอย่างไร ประเทศไทยมีเงินงบประมาณรายจ่ายนับแสนล้าน ไม่มีเงินที่จะเจียดมาดูแลสัตว์สายเลือดไทยแท้ๆ แต่โบราณหรืออย่างไร
        กรณี วัว ควาย ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณกับคนไทยมาช้านาน เนื่องจากเป็นสัตว์ที่ชาวนาใช้แรงงานในการทำนาปลูกข้าวให้คนไทยและคนทั่วโลกได้กินข้าวไทยแต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวนานำรถไถ หรือที่เรียกว่าควายเหล็กเข้ามาแทนที่  วัวควายซึ่งเคยมีหน้าที่ในการช่วยชาวนาทำนาก็ต้องว่างงาน ถ้าเพียงแต่ชาวนาเจ้าของมันจะใช้ใจสัมผัสถึงหัวอกของสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ คงไม่ทิ้งๆ ขว้างๆ มันอย่างทุกวันนี้ เช่น ปล่อยตามยถากรรม พาไปผูกตากแดดทั้งวัน ชาวนาบางคน เมื่อเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์จึงตัดสินใจขายให้โรงฆ่าสัตว์ในที่สุด อย่างที่สุภาษิตไทยโบราณกล่าวไว้ไม่มีผิดว่า "เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" อย่างกรณีต่างประเทศที่พวกเขาใช้รถไถนามิได้ใช้วัวควายในการทำนา พวกเขาจึงนำมันมากินเนื้อได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กรณีของคนไทยต่างกัน เพราะวิถีชีวิตชาวนาไทยผูกพันกับวัวควายมาช้านาน  เราจึงมิควรกระทำกับสัตว์ที่มีบุญคุณกับเราในลักษณะนี้


อีกตัวอย่างที่ได้ยินบ่อย คือ บรรดาคนที่ชอบเปิบพิสดารก็เช่นกัน ล้วนส่งเสริมการทารุณกรรมสัตว์ทั้งสิ้น เช่น เปิบสมองลิง (ทั้งเป็น)กินแมว กินหมา กินตะกวดและสัตว์ป่าต่างๆ ยิ่งหายาก ยิ่งมีราคาแพง รวมถึงเป็นกระตุ้นต่อมความอยากของอมนุษย์กลุ่มนี้ ซึ่งหลายรายต้องเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อโรคอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากกินของแปลกเมนูเปิบพิสดาร อย่างที่เขาเรียกว่า "กรรมตามสนอง"
กรณีของปลา ที่ใครต่อใครรู้ดีว่าเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของคน เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ ก็มิวายที่จะถูกนำมาเป็นเมนูเปิบพิสดารด้วยการตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ท่วมจนเดือด แล้วค่อยๆ บรรจงหย่อนท่อนหางของปลาที่ถึงคราวเคราะห์ (แบบจะตายก็ไม่ได้ตายดี)ลงไปในกระทะนั้น สุดท้ายจะตายแหล่มิตายแหล่ สุกเพียงครึ่งท่อนล่าง (หาง) ท่อนบน (ส่วนหัว) อ้าปากร้องอย่างทุรนทุราย จนเป็นที่มาของชื่อเมนูเปิบพิสดารนี้ว่า "ปลาไชโย" หรือแม้แต่ฉลามที่เป็นจ้าวแห่งทะเลก็มิวายที่คนจะตัดครีบและสังเวยชีวิตมันด้วยการนำมาทำเป็นอาหารเหลาไม่เว้นกระทั่งหมา หรือสุนัข ที่เป็นเพื่อนเล่นกับเรา บางครั้งเป็นยาม หรือเป็นหน่วยกู้ภัยช่วยชีวิตยามเจ้าของมีอันตราย บางคนยังทำกับมันได้ลงคอ  ตัวอย่างเช่น หลายหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่ามักจะมีการจับบรรดาสัตว์ต่างๆ ที่พอจะกินได้นำมาปรุงอาหารหลากหลายเมนูด้วยกัน  แต่จะมีใครคิดบ้างว่า หมาที่เลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้านจะนำมาซึ่งรายได้เล็กน้อยให้กับเจ้าของด้วยการนำมันมาแลกกับถังน้ำ/กะละมัง ที่มีราคาเพียงใบละ 10-20 บาท 
คำถาม..เราตอบแทนเพื่อนรัก ผู้ซื่อสัตย์กับเราด้วยวิธีการแบบนี้หรือ จนกลายเป็นว่าถ้าบ้านไหนมีลูกหมาก็จะไม่แบ่งให้เพื่อนบ้านเอาไปเลี้ยงแต่จะเก็บไว้รอการกลับมาของรถรับซื้อหมาแลกถังน้ำที่จะวนเวียนมาแทบทุก 1-2 เดือน
กรณี หมีหมา และหมีควาย (ไม่รวมหมีแพนดา) ซึ่งเป็นสัตว์ป่า ถ้าใครพบว่ามันทำร้ายคนด้วยกันก็จะพิพากษาโทษของมันด้วยการฆ่าเพียงสถานเดียวเท่านั้น บ่อยครั้งที่ได้ยินมาว่ามันถูกกระหน่ำยิงด้วยปืนและสารพัดอาวุธที่จะล้มมันลงได้ ทั้งๆ ที่มันมีเพียงแค่สี่ตีนเปล่าเท่านั้น สัตว์เหล่านี้ไม่มีโอกาสได้ อุทธรณ์ ฎีกา หรือยกฟ้องเลย พวกมันจะถูกศาลเตี้ย (จากคน) เป็นผู้พิพากษาโทษด้วยการสังหารโหดมันในทันที เช่น ใช้ปืนสั้น/ปืนยาวกระหน่ำยิง ลูกดอกอาบยาพิษ เหล็กหลาวทิ่มแทง ไม้ทุบตี ก้อนหินขว้างใส่ เป็นต้น  สุดท้ายเมื่อสื่อมวลชนไปเจอก็จะเสนอภาพข่าวที่ออกมาให้เห็น คือ ภาพหมีหมา/หมีควายนอนตายอย่างอนาถ ไม่มีใครทำศพให้ มีแต่คนด่าและสาปแช่งด้วยข้อหาฆ่าคนตาย (อาจด้วยเจตนา หรือไม่เจตนา) ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ เพราะปกติเราจะทราบดีว่าสัตว์ทำไปโดยสัญชาตญาณป้องกันตัว และฆ่าเพื่อเป็นอาหาร ไม่เคยมีเหตุผลอื่น เช่น หึงหวง ชู้สาว ปมแค้นส่วนตัว หรือชิงทรัพย์ อย่างกรณีของคน
ทุกวันนี้ บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ในไทย (รวมถึงคนไทยบางคน) คงอดอิจฉาครอบครัวแพนดาไม่ได้เพราะมีแต่คนสนใจ ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน จนแอบคิดไม่ได้ว่าสัตว์สายเลือดพันธุ์ไทยแท้อย่างช้างไทย วัว ควาย ไทย ถ้าเลือกเกิดได้มันคงอธิษฐานขอให้เกิดเป็นหมีแพนดาด้วยเถิด...โอมเพี้ยง....

อีกเหตุผลหนึ่ง สัตว์ต่างชาติไม่ได้ทำผิดอะไรหรอกเพียงแค่ปกติวิสัยของคนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีจำนวนน้อย หายาก อย่างแพนดาและครอบครัวที่เข้ามาอยู่ในความดูแลของไทยช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขามาในฐานะ "สัตวทูต" เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง "ไทย-จีน" ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวไทย เพราะมันน่ารัก มีคนแต่งเพลงให้ รัฐบาลลงทุนเพื่อปรับสถานที่ให้เหมาะกับวิถีชีวิตที่มันจะอยู่อาศัยในไทยได้ สื่อมวลชนให้ความสนใจมันมาก โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่หลินฮุ้ยตั้งท้อง จน "แพนดาน้อยหลินปิง" ออกมาลืมตาดูโลก  เรียกได้ว่าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ โทรทัศน์ทุกช่อง เว็บไซต์ทุกที่ต่างลงข่าวความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวแพนดาครอบครัวนี้ทุกวี่วัน จนเด็กหลายคนสงสัย บ้างก็สับสนคิดว่า "แพนดา" คือสัตว์ประจำชาติไทยไปแล้วด้วยซ้ำ
สมัยเรียนระดับประถมศึกษา คุณครูมักสอนให้รู้จักสัตว์ชนิดต่างๆ และถามนักเรียนว่าใครรู้จักและเคยเห็นสัตว์เหล่านี้ตัวจริงบ้างช่วยอธิบายลักษณะ รูปร่างหน้าตาและเสียงร้องของมันให้เพื่อนๆ ฟังหน่อย เพื่อนในห้องบางคนที่เคยเห็นต่างยกมือตอบด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อมาถึงสัตว์สูญพันธุ์ หรือสัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ คุณครูกลับอึ้งไปและบอกว่าสัตว์เหล่านี้ปัจจุบันมีเพียงชื่อ และรูปภาพให้ดูเท่านั้น ของจริงหายาก บางชนิดก็ไม่มีหลงเหลือในโลกอีกแล้ว เด็กๆ ฟังแล้วรู้สึกสลดใจ ครูก็เศร้าไปกับเด็กด้วย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมันสูญพันธุ์ไปแล้ว จะมีก็แต่อนุรักษ์สัตว์ที่มีอยู่ในขณะนี้ให้พวกมันอยู่กับเราไปอีกนาน
เคยมีคนถามว่าเคยมีกฎหมายที่ออกมาคุ้มครองสัตว์อย่างจริงจังบ้างหรือไม่ โดยระบุเป็นข้อๆ ไปเลยว่าห้าม 1 2 3 และ 4 ถ้าทำจะได้รับโทษหนักแบบนี้....เรากำลังปล่อยปละละเลยกฎหมายพื้นฐานไปหรือเปล่า หรือกฎหมายบ้านเราครอบคลุมเฉพาะคนเท่านั้น สัตว์ก็ปล่อยไปตามยถากรรม จะถูกคนย่ำยี ทารุณ ทุบตี ฆ่าหรือทรมานจนตายอย่างไรไม่สนใจ เพราะไม่มีปากเสียง...หรือเพราะมันลงคะแนนเสียงในบัตรเลือกตั้งไม่ได้
...ใครที่ได้ยินได้ฟังเรื่องจริงที่ว่านี้อดสังเวชใจมิได้ต่อชะตากรรมที่สัตว์น้อยใหญ่ในบ้านเมืองเราต้องเผชิญ มิต่างอะไรกับการต้องอยู่ในสมรภูมิรบ เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดีเจ้าของที่มันรักกระทั่งมันอาจยอมตายแทนได้จะนำมันไปแลกกับอะไร หรือมันมีค่าเท่ากับของใช้ในบ้านอะไรได้บ้าง..
นอกจากนี้ สัตว์ที่คนกินเป็นอาหารก็อดหวั่นวิตกถึงชะตากรรมของมันไม่แพ้กัน เมื่อมีไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู แอนแทรก (วัวบ้า) เป็นต้น ซึ่งทางป้องกันที่คนนำมาใช้คือ การ "ฆ่าหมู่" ด้วยวิธีการต่างๆ เนื่องจากสัตว์ที่ติดเชื้อมีจำนวนมาก ยากแก่การควบคุมโรค ที่สำคัญยังเป็นอาหารของคนจนเกรงว่าอาจติดจากคนสู่คน หรือกลายพันธุ์ สุดท้ายจุดจบของบรรดาสัตว์เหล่านี้ คือ "การฝังทั้งเป็น" หลายคนอดนึกไม่ได้ว่าถ้าเป็นกับคนจำนวนมากๆ จะใช้วิธีการเช่นเดียวกันกับสัตว์เหล่านี้หรือไม่....

ปัญหานี้ควรใช้ "ความเมตตา" ในการแก้ไข เมตตาต่อสัตว์โลกที่ตกทุกข์ได้ยาก คิดเสียว่ามันเกิดมาเป็นสัตว์ให้คนโขกสับ ใช้งาน หรือกินเป็นอาหาร ก็ทุกข์มากพอแล้ว อย่าไปทรมานด้วยวิธีการทารุณหลากหลายรูปแบบอีกเลย ที่สำคัญ อย่าให้การรักสัตว์อยู่แต่ในแวดวงของนางงามเท่านั้น คุณก็รักสัตว์ได้ด้วยการให้ความเมตตากับมัน  สัพเพ   สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย...และไม่ดูดายหากพบเห็นผู้ทารุณกรรมสัตว์ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที สังคมจะน่าอยู่ขึ้นถ้าทุกคนร่วมด้วยช่วยกัน...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น