วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Book Review : ด้วยรักบันดาล...นิทานสีขาว

ประทุมทิพย์ ทองเจริญ
 
                                                                            ตอน...ภูเขาดินปั้น

หนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาวเป็นอีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่นของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา (เกิดเมื่อ 6..2483 ปัจจุบันอายุ 73ปี) ผู้มากด้วยความรู้ ความสามารถ ก่อนหน้านี้ คนส่วนใหญ่ทั้งชาวไทยและต่างชาติ มักรู้จักท่านในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานโดดเด่น คือ การออกแบบและควบคุมการร่อนลงของโครงการอวกาศไวกิ้ง 2 ลำ ลงสู่พื้นผิวดาวอังคารขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (The National Aeronautics and Space Administration: NASA)  ประเทศสหรัฐอเมริกา  แต่เมื่อได้ทำความรู้จักท่านเพิ่มเติมจากการอ่านประวัติของท่าน พบว่า ดร.อาจอง ยังมีประสบการณ์และมุมมองด้านอื่นๆที่น่าสนใจและชวนให้ติดตามอีกมากมาย
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เป็นคนหนึ่งที่เรียนดีมาก ปริญญาตรีเกียรตินิยมและปริญญาโทจาก Cambridge University ประเทศอังกฤษ  ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก (จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก 2012/2013 โดย QS World University Rankings ปัจจุบัน Cambridge University ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 2 ของโลก เป็นรองจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ซึ่งครองแชมป์มาหลายสมัย แม้จะไม่ติดต่อกันก็ตาม)  ช่วงหลัง ดร.อาจอง หันมาเอาดีทางด้านการสอนและการปลูกฝังสิ่งดีงามให้กับเยาวชนในสถาบันการศึกษา ซึ่งท่านสำเร็จการศึกษาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหิดล
ปัจจุบัน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนสัตยาไส โรงเรียนที่มีปณิธานเพื่อให้เด็กไทยมีความรู้คู่ความสุข ด้วยท่านเล็งเห็นว่า “ความสุข” สามารถบันดาลให้เกิดสิ่งดีๆ ให้กับสังคมและโลกมากมาย รวมถึงการเสริมสร้าง “แรงบันดาลใจ” และ “จินตนาการ” ของเด็กๆอีกด้วย  อย่างที่ใครๆก็ทราบดีว่า “ความสุข” เป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา แต่การได้มาซึ่งความสุขอย่างแท้จริงนั้น มีที่มาต่างกัน สำหรับบางคนความสุขอาจจะมาเร็วไปเร็ว นานๆมาสักครั้ง แต่บางคนความสุขอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกวันจนคนรอบข้างอิจฉาในความสดชื่น แจ่มใสและเบิกบานของเขาเลยทีเดียว ดังที่นักวิชาการและผู้รู้หลายท่านเคยกล่าวไว้ในผลงานของพวกเขาและยืนยันว่า “ความสุขอยู่รอบตัวเรา ไม่ได้อยู่ไกลเกินที่จะเอื้อมถึง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเปิดหู เปิดตา และเปิดใจยอมรับให้มันเข้ามาในชีวิตของเราหรือไม่ อย่างไร และเมื่อใด” และหนึ่งในวิธีการสร้างความสุขง่ายๆ ที่ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านบทความนี้ต้องการนำเสนอก็คือ การได้อ่านนิทานดีๆ อย่างเรื่อง “ด้วยรักบันดาลนิทานสีขาว” อาจนำมาซึ่งความสุขที่ใครหลายคนกำลังรอคอย
เคล็ดที่ไม่ลับสำหรับนักอ่านมือใหม่
ปกติคนส่วนใหญ่ที่อ่านหนังสือมักจะไม่ชอบอ่านคำนำ และคำนิยม รวมถึงไม่ค่อยได้สนใจประวัติผู้เขียน แต่ความจริงแล้ว ส่วนประกอบเหล่านี้มีคุณค่ามากเพราะจะทำให้ผู้อ่านได้ทราบที่มาที่ไป แรงบันดาลใจของผู้เขียนในการทำผลงานชิ้นนั้นๆ ตลอดจนนักอ่าน(กิตติมศักดิ์)ทั้งหลาย ที่ได้รู้จักและอ่านงานของผู้เขียนว่าพวกเขามีความคิดเห็นและมุมมองต่อหนังสือเล่มนั้นอย่างไร ประเด็นไหนที่ผู้อ่าน(อย่างเราๆ)ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ที่สำคัญ หากผู้อ่านได้อ่านองค์ประกอบเหล่านี้จะยิ่งทำให้เข้าใจในงานเขียนชิ้นนั้นได้อย่างซาบซึ้งและดื่มด่ำกับอรรถรสของหนังสือมากขึ้น  ทั้งนี้ เคล็ดไม่ลับดังกล่าวสามารถนำไปใช้กับการอ่านหนังสือวิชาการได้เช่นกัน  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หวังว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้และเล่มต่อๆไป องค์ประกอบส่วนนี้จะไม่ถูกมองข้ามจากผู้อ่านดังเช่นที่ผ่านมา
หนังสือเล่มนี้ เป็นการคัดมาเฉพาะตอนเด่นๆ จากหนังสือชุด “ด้วยรักบันดาลนิทานสีขาว เล่ม 1-4” แต่ละตอนประกอบด้วยเนื้อหาที่กระชับ ประมาณ 4-6  หน้า พร้อมภาพประกอบสี่สีสวยงาม และตอนท้ายของทุกเรื่องมีข้อคิดดีๆ จากผู้เล่าเรื่อง( ดร.อาจอง) ฝากไว้ด้วย  สำหรับตอนที่นำมาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ คือ “ภูเขาดินปั้น” (หน้า 117-124) เป็นหนึ่งใน 16 ตอน ที่ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวมีความประทับใจและภูมิใจนำเสนอต่อผู้อ่าน ทั้งนักอ่านมือเก่า และมือใหม่ ที่อยู่ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบและติดใจการอ่านนิทานมาตั้งแต่วัยเยาว์ นี่คือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหนังสือประเภท “นิทาน” ใจความของตอนนี้ สรุปได้ว่า
  ณ เมืองหนึ่ง มีพระราชาที่เฝ้ารอคอยการมาเกิดของรัชทายาททุกขณะ แต่ก็ไม่มีวี่แวว กระทั่งมีคนเสนอว่าให้ทำตามโบราณราชประเพณี คือ เผาเด็กชายทั้งเป็นเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเผื่อว่าจะประทานโอรสเพื่อมาเป็นรัชทายาท ในที่สุดกษัตริย์ก็ตัดสินใจเลือกวิธีนี้ทั้งๆที่ไม่อยากทำ จึงได้ป่าวประกาศไปทั่วเมืองว่าใครมีบุตรชายที่จะมาถวายให้เข้าพิธีนี้จะมอบเงินรางวัลและทรัพย์สินมีค่าเพื่อเป็นการตอบแทนอย่างงาม ชาวบ้านไม่มีใครส่งลูกไปเพราะต่างก็รักลูกของตน แต่มีครอบครัวหนึ่งที่ยากจนข้นแค้น มีลูกชาย 3 คน พ่อจึงตัดสินใจว่าจะส่งลูกชายของตนคนใดคนหนึ่งไปให้กษัตริย์เพื่อทำให้ชีวิตตนดีขึ้น พ่อเลือกที่จะเก็บลูกชายคนโตไว้เพราะสามารถช่วยงานหนักอย่างงานในไร่ในฟาร์มได้แล้ว ส่วนแม่เลือกที่จะเก็บลูกคนเล็กที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ดังนั้น ลูกคนกลางจึงถูกเลือกที่จะนำไปมอบให้กษัตริย์เพื่อทำพิธีดังกล่าว
ขณะรอเวลาเพื่อทำพิธี ทหารเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเด็กชายวัย 12 ขวบที่ถูกคุมขังในคุก  พวกเขาประหลาดใจที่เด็กชายไม่กลัวที่จะถูกเผาทั้งเป็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตรงกันข้ามกลับใจเย็น สุขุม ไม่สะทกสะท้าน ตีโพยตีพาย หรือ ร้องขอชีวิตแต่อย่างใด ดังนั้น ทหารจึงไปกราบทูลพระราชาถึงความผิดแปลกนี้  พระราชาสงสัยและไม่เชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่จริง จึงไปเยี่ยมเด็กชายในที่คุมขัง เมื่อไปถึงพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นเด็กคนนี้บรรจงสร้าง “ภูเขาดินปั้น” ขึ้นมา 3 กอง แต่เมื่อพระองค์มายืนตรงหน้าเด็กชายก็พลันทุบภูเขาดินปั้นลูกแรกต่อหน้าพระพักตร์ ทำเอาพระราชาตะลึงเล็กน้อย ตามมาด้วยการทุบทำลายภูเขาดินปั้นลูกที่ 2 พอมาถึงลูกที่ 3 พระองค์จึงถามเด็กชายว่า แล้วลูกนี้เจ้าจะไม่ทุบมันด้วยหรือ เหตุใดจึงทำลายแค่ 2 ลูกแรก เด็กชายกราบทูลพระราชาอย่างใจเย็นว่า ภูเขาลูกแรกเสมือนความรักของพ่อแม่ที่แม้จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่เมื่อพวกเขาตัดสินใจส่งข้ามาให้เผชิญกับความตายก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่เหลือเยื่อใยแห่งความรักและความปรารถนาดีต่อข้าพระองค์อีกต่อไป ความสัมพันธ์นี้จึงขาดลงนับตั้งแต่วันนั้น  ส่วนภูเขาลูกที่ 2 คือ พระองค์ ผู้เป็นกษัตริย์ แต่ไม่รักและห่วงใยประชาชน สั่งฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนลูกของพระองค์ ดังนั้น ข้าจึงไม่ศรัทธาในตัวพระองค์อีกต่อไป ข้าจึงตัดสินใจทำลายมันเสีย
ส่วนภูเขาลูกที่ 3 ข้าจะเก็บมันไว้ เพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้ายังเหลืออยู่ นั่นก็คือ “ความดีงาม” ที่ข้าได้เพียรพยายามและรักษามันมาตลอด 12 ปี ข้ายังคงศรัทธาในความดีและเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ข้ารอดพ้นจากอันตรายและความตายในครั้งนี้ ข้าจึงไม่ทุบทำลายมันเสีย  เมื่อฟังเด็กน้อยพูดจบลง พระองค์ทรุดเข่าลงนั่งต่อหน้าเด็กชายคนนี้ และบอกกับเด็กชายว่า จริงสินะ ข้ามัวนึกถึงแต่ตัวเอง ข้าไม่น่าทำพิธีนี้ตั้งแต่แรก ข้ากำลังจะฆ่าประชาชนที่เสมือนลูกของข้าด้วยตัวของข้าเอง เจ้าเป็นเด็กแท้ๆ กลับคิดได้และมีสติปัญญาอันหลักแหลมเป็นเลิศเหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกันที่ข้าเคยพบเห็นมา...เอาล่ะ! ข้าจะไม่จับเจ้าไปบวงสรวงแล้วเพราะตอนนี้ข้ามีรัชทายาทแล้ว    ข้าจะรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมและแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาทให้ครองบัลลังก์และดูแลทุกข์สุขของประชาชนต่อไป”
เกือบทุกครั้งที่นิทานทุกเรื่องจบลงผู้ฟังมักได้ยินวรรคทองของผู้เล่าเรื่องที่ว่า “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถือเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเล่านิทานที่คุ้นหูคนฟังมาช้านาน นิทานเรื่องนี้ก็เช่นกัน ผู้เล่าเรื่องได้แฝงข้อคิดที่สำคัญกอรปกับข้อคิดที่ได้จากผู้อ่าน (ผู้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านบทความนี้) ทำให้ได้ข้อคิด 2 ประการสำคัญ คือ 1) ส่วนใหญ่ผู้เป็นพ่อแม่จะรักลูกคนแรก และคนสุดท้องมาก ขณะที่ลูกคนกลางมักจะไม่ค่อยได้รับความเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็น โดยมากลูกคนกลางจะมีนิสัยคล้ายพี่คนโต คือ เอาการเอางาน มีความเข้มแข็ง และไม่เอาแต่ใจเหมือนลูกคนสุดท้อง ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่พึ่งพิงของพี่ๆน้องๆและพ่อแม่ได้ เพราะไม่ถูกตามใจจนเสียคน แต่ลึกๆแล้วเขาก็อาจจะแฝงด้วยความน้อยใจต่อผู้ปกครอง การเลี้ยงดูบุตรหลานจึงเป็นสิ่งที่ยากมาก ที่จะทำให้เด็กๆทุกคนได้รับความรักและความเอาใจใส่อย่างเท่าเทียมกัน ผู้ปกครองจึงควรพิจารณาสิ่งนี้มากขึ้น  2) สติและปัญญา บวกกับความดีงามจะสามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากเหตุการณ์คับขันได้ จงเชื่อมั่นและ "ศรัทธาในความดี" อย่างที่ชาว มรส. เชื่อมั่นและยึดถือสิ่งนี้มาโดยตลอด