วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

ปั้นดิน...ให้เป็นดาว

ประทุมทิพย์ ทองเจริญ


 
ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ปิดแบบสนิทเสียทีเดียว เพราะตามกำหนดการของภาคการศึกษาที่ ๒/๒๕๕๔  จะเริ่มปิดภาคการศึกษานี้ ตั้งแต่วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ระดับปริญญาตรีจะยึดตามเกณฑ์นี้ แต่สำหรับปริญญาโทและปริญญาเอกจะขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้สอนและภาระงานของนักศึกษาที่ยังคั่งค้างเป็นสำคัญ  อย่างที่เคยเล่าให้ฟังในตอนก่อนๆว่าการเรียนในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมหิดลแห่งนี้ไม่ธรรมดา เพราะหลังจากที่สอบปลายภาคแล้วเสร็จ (ทั้งแบบสอบในห้องและการนำข้อสอบกลับมาทำที่บ้าน หรือ ที่เรียกกันว่า “Take home”) ผู้เขียนและเพื่อนๆ ก็ยังมีบทความอีก ๓ ชิ้น ประกอบด้วยบทความในรายวิชาการกําหนดนโยบายสาธารณะจากปัญหาเขตเมืองและชุมชน  จำนวน ๒ ชิ้น และบทความในรายวิชานโยบายการศึกษาเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อีก ๑ ชิ้น ซึ่งผู้เขียนและเพื่อนๆ นักศึกษาปริญญาเอกจะต้องสะสางให้แล้วเสร็จตลอดช่วงเดือนเมษายน เดือนที่ใครๆบ่นนักหนาว่าเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด
ขณะที่เกรดของรายวิชาทั้ง ๒ ภาคการศึกษา (๖ รายวิชา) เพิ่งจะออกมาให้ยลโฉมเพียง ๒ ตัว เท่านั้น เพราะเกรดบางรายวิชาจะขึ้นอยู่กับการตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการระดับชาติดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว ล่าสุด บทความเรื่อง “ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้” ของผู้เขียนได้รับการตอบรับให้ลงตีพิมพ์ในวารสารสงขลานครินทร์ (วารสารระดับชาติ) ฉบับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๓ (ก.ค - ก.ย ๒๕๕๕) ซึ่งเกรดในรายวิชาการจัดการทุนมนุษย์ภาครัฐ เมื่อภาคการศึกษาที่ ๑ /๒๕๕๔ ก็คงจะได้ปรากฏในเร็ววันนี้ ซึ่งบทความนี้ผู้เขียนใช้เวลาในการดำเนินการทั้งสิ้น ๑๐ เดือนเต็มๆ (ส..๒๕๕๔-..๒๕๕๕) ทราบข่าวนี้แล้ว ทำให้ผู้เขียนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ซึ่ง รศ.ดร.ศิริพร แย้มนิล ผู้สอนในรายวิชาดังกล่าว ให้กำลังใจพวกเราว่าการตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับชาตินั้น เป็นเรื่องที่ว่ายากแล้ว แต่สำหรับนักศึกษาปริญญาเอกที่จะต้องทำดุษฎีนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ และเขียนบทความภาษาอังกฤษไปนำเสนอผลงานวิชาการระดับนานาชาติและตีพิมพ์ในวารสารนานาชาตินั้นยิ่งยากกว่าหลายเท่า เพราะนักศึกษาบางรายต้องรอการตอบรับให้ตีพิมพ์ในวารสารเกือบ ๓ ปี ดังนั้น นักศึกษาจะต้องวางแผนและเตรียมการในเรื่องนี้อย่างรอบคอบและเป็นระบบจึงจะสามารถสำเร็จการศึกษาได้ภายในกำหนดเวลา ๕ ปี
นอกจากนี้ ผู้เขียนและเพื่อนๆ นักศึกษาปริญญาเอก จำนวน ๖ คน และนักศึกษาปริญญาโท ได้มีโอกาสร่วมนำเสนอบทความในการประชุมวิชาการบัณฑิตศึกษาระดับชาติและนานาชาติ เรื่อง การจัดการชุมชนและการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ณ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕  สำหรับนักศึกษาปริญญาเอกนำทีมโดย รศ.ดร.สมบูรณ์      ศิริสรรหิรัญ รองคณบดีฝ่ายบริหาร ผู้สอนในรายวิชานโยบายการศึกษาเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.   วริยา ชินวรรโณ คณบดีคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณาจารย์อีก ๒ คน ได้แก่ อ.ดร.เทพรัตน์ พิมลเสถียร รองคณบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ และ ผศ.ดร.กมลพร สอนศรี ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานและดูแลคณะนักศึกษาที่ไปนำเสนอผลงานในครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม การเดินทางไกล (กรุงเทพฯ-มหาสารคาม กว่า ๔๗๕ กิโลเมตร) การเดินทางสามารถไปได้ ๔ วิธีการ คือ โดยสารเครื่องบิน (๑ ชั่วโมง) รถไฟ (๙-๑๐ ชั่วโมง)  รถทัวร์ และรถยนต์ส่วนตัว (๗-๘ ชั่วโมง) ถ้าโดยสารเครื่องบินและรถไฟจะต้องไปลงที่ขอนแก่น จากนั้นค่อยต่อรถไปมหาสารคามอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง ส่วนที่พักทางคณะผู้จัดงานแนะนำ โรงแรมตักศิลาและโรงแรมในเครือ (นิวพัฒนา และตักศิลาแกรนด์) ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงและคุณภาพได้มาตรฐาน สำหรับค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง (ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าลงทะเบียน และค่ารถโดยสารประจำทาง) ประมาณ ๕,๐๐๐ บาท - ๑๐,๐๐๐ บาท/คน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือ “มมส.” มีเนื้อที่ประมาณ ๑,๓๐๐ ไร่ (ขนาดพื้นที่ใหญ่กว่า ม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานี เกือบ 2 เท่า) พัฒนามาจากโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงถนนประสานมิตร  ต่อมาเป็นวิทยาลัยวิชาการศึกษา และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม กระทั่งมาเป็นมหาวิทยาลัยมหาสารคามอย่างเต็มตัว เมื่อ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๓๗ นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ ๒๒ ของประเทศไทย เปิดสอนระดับประถมและมัธยมศึกษาใน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ปีการศึกษา 2540) และยังได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโทไปยังวิทยาเขตนครพนมและศูนย์พัฒนาการศึกษาอุดรธานี โดยใช้การเรียนการสอนระบบทางไกลผ่านดาวเทียม  ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีสถานที่ตั้งอยู่ ๒ แห่ง คือ ถนนนครสวรรค์ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม (ม.เก่า) และอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย (ม.ใหม่)  ซึ่งวิทยาลัยการเมืองการปกครองสถานที่จัดการประชุมตั้งอยู่บริเวณ ม.ใหม่ การเดินทางจากที่พัก (โรงแรมตักศิลาและโรงแรมในเครือ)ไปยังสถานที่จัดการประชุมประมาณ ๑๐ กิโลเมตร  ที่สำคัญมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีจุดเด่น  คือ  การได้รับการจัดอันดับให้เป็น “มหาวิทยาลัยสีเขียว” อันดับที่ ๔ ของประเทศ และอันดับที่ ๑๒๖ ของโลก (จาก UI GreenMetric World University Ranking ๒๐๑๑)  สำหรับการจัดการเรียนการสอนในภาพรวมได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ ๗๒๗ ของโลก และลำดับที่ ๒๑ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (จาก www.webometrics.info) ซึ่งจะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติ และความร่มรื่นภายในบริเวณมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก รวมถึงมหาวิทยาลัยมหิดลก็เช่นกัน ทั้งนี้ คำที่บ่งบอกถึงความเป็นธรรมชาติและความร่มรื่นที่มักได้ยินมี ๒ คำ คือ คำว่า”Green” เช่น มหาวิทยาลัยสีเขียว (Green University) และคำว่า “eco” อย่างที่โฆษณารถยนต์และที่พักต่างๆ นิยมใช้คำว่า “eco-car” และ “eco-hotel” ซึ่ง “eco” ตัวนี้มาจากคำว่า “ecology” (นิเวศวิทยา / ระบบนิเวศน์) แต่หลายคนเข้าใจผิดว่าหมายถึงความประหยัด “economy ดังนั้น องค์กรจัดอันดับมหาวิทยาลัย/สถานศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับโลกจึงได้กำหนดให้ความเป็นธรรมชาติและความร่มรื่นเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญของการจัดอันดับด้วย
การประชุมครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า ๑,๕๐๐ คน และทีมงาน (staffs) กว่า ๑๐๐ คน ประจำตามจุดต่างๆ สำหรับบทความของผู้นำเสนอจะได้รับการตีพิมพ์ทั้งบทคัดย่อ (Abstract) และบทความฉบับเต็ม (Proceeding) ในเอกสารแจกตามสูจิบัตรกว่า ๔๐ หน้า ซึ่งแสดงรายละเอียดต่างๆไว้อย่างครบถ้วน ระบุสถาบันการศึกษาที่เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงานทั้งสิ้น  ๑๑ สถาบัน  ได้แก่ ๑) คณะกรรมการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สภาวิจัยแห่งชาติ ๒) คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ๓) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๔) สถานกงสุลเวียดนาม ขอนแก่น  ๕) สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย ๖) University of the Philippines, Philippines ๗) National College of Public Administration and Governance University of the Philippines, Philippines ๘) Universiti Kebangsaan, Malaysia  ๙) Universitas Brawijaya, Indonesia ๑๐) Faculty of Law and Political Science, National University of Laos  และ ๑๑) Western University, Cambodia  ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมนอกจากจะเป็น อาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษาปริญญาเอก และนักศึกษาปริญญาโทจากสถาบันเหล่านี้แล้ว ยังมีผู้เข้าร่วมนำเสนอผลงานจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศหลายสถาบันได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  มหาวิทยาลัยขอนแก่น  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยนเรศวร ประกอบด้วย ผู้นำเสนอแบบปากเปล่า (oral presentation) ประมาณ ๘๐ คน และผู้นำเสนอแบบโปสเตอร์ จำนวน ๑๖ คน
ตามกำหนดการ ช่วงเช้าเป็นพิธีเปิด โดย รศ.สีดา สอนศรี คณบดีวิทยาลัยการเมืองการปกครอง ในฐานะประธานจัดการประชุมฯ  กล่าวรายงานต่อประธานในพิธีและผู้เข้าร่วมประชุมฯ  ตามด้วยการกล่าวเปิดของประธานในพิธีโดย ผศ.ดร. ศุภชัย  สมัปปิโต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (คนปัจจุบัน) จากนั้นเป็นการปาฐกถาพิเศษ (ภาษาอังกฤษ) โดย คุณหญิงลักษณาจันทร เลาหพันธุ์  นายกสมาคมอาเซียน-ประเทศไทย หัวข้อ “Community and Environmental Management for Sustainable Development in ASEAN”  ตามด้วยปาฐกถาพิเศษของผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนในหัวข้อที่แตกต่างกันโดยแยกบรรยายเป็นกลุ่มตามห้องต่างๆ ประมาณ 3-4  ห้อง ได้แก่ ศ.ดร.เกษม จันทรแก้ว อ.พราวพรรณราย มัลลิกะมาลย์  .ดร.ยุวัฒน์ วุฒิเมธี  รศ.ดร.โกวิทย์ กังสนันท์  คุณอำนวย ปะติเส  อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม และคุณปกรณ์ สัตยวณิช ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดํา (กปร.)
ช่วงบ่ายเป็นการนำเสนอแบบปากเปล่า (ทั้งแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ของผู้นำเสนอทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยแบ่งการนำเสนอออกเป็น ๒๒ กลุ่ม แยกนำเสนอตามห้องต่างๆ ที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งแต่ละห้องจะมีผู้ทรงคุณวุฒิ (ห้องละ 3-4 คน) คอยซักถามและให้คำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับการนำเสนอของผู้เขียนและเพื่อนนักศึกษาปริญญาเอก ถูกจัดให้นำเสนอ ณ ห้อง D-๒๐๒  และ D-๒๐๖ ในช่วงเวลาเดียวกัน คือ ระหว่าง ๑๔.๔๕-๑๖.๓๐ น. ซึ่งผู้เขียน เพื่อนนักศึกษาปริญญาเอก ๒ คน และนักศึกษาปริญญาโท ๑ คน นำเสนอ ณ ห้อง D-๒๐๒  โดยมี อ.ดร.เทพรัตน์ พิมลเสถียร ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ประสานงาน/อำนวยความสะดวกในการนำเสนอ (facilitator) และผู้วิพากษ์ (commentator) ของคณะนักศึกษาในห้องนี้ ขณะที่ห้อง D-๒๐๖ มี รศ.ดร.สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ เป็นผู้ทำหน้าที่นี้
เกณฑ์การนำเสนอ ณ ห้อง D-๒๐๒  คือ ๘ : : ๕ กล่าวคือ นำเสนอ ๘ นาที  ซักถาม ๒ นาที และ ตอบข้อซักถาม ๕ นาที ซึ่งตามกำหนดการผู้เขียนนำเสนอเป็นคนแรกในการนำเสนอแบบปากเปล่า (ภาษาไทย) เริ่มเวลา ๑๔.๔๕ น. ในหัวข้อ “e-Education : มิติใหม่ของการศึกษาในโลกไร้พรมแดน” ซึ่งความจริงแล้ว ผู้เขียนและเพื่อนๆ ได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานว่าให้เวลาการนำเสนอคนละประมาณ ๑๕ นาที รวมคำถามและการตอบข้อซักถามไม่เกินคนละ ๒๐ นาที ดังนั้น สำหรับการนำเสนอในห้อง D-๒๐๒ ผู้นำเสนอจึงต้องปรับลดเวลาการนำเสนอเสียใหม่ให้เหลือเพียงคนละไม่เกิน ๘ นาที ประเด็นนี้ จึงเป็นทั้งความท้าทาย ความตื่นเต้น และความกดดันเรื่องเวลา (Time Constraint) ของผู้นำเสนอในห้องนี้เป็นอย่างมาก  

จากการสังเกตและประสบการณ์การนำเสนอผลงานวิชาการในเวทีต่างๆของผู้เขียนพบว่า การนำเสนอมีหลายลักษณะ เช่น การนำเสนอที่มีลักษณะดุเด็ดเผ็ดร้อน สนุกสนาน เสมือนการโต้วาที  แม้ว่าคนฟังหลายคนจะชอบใจ แต่ในเวทีวิชาการกลับไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรเพราะจะทำให้ผู้นำเสนอขาดความน่าเชื่อถือในเชิงวิชาการ ทำนองเดียวกับการนำเสนอที่ราบเรียบ เนิบนาบ “แบบแกงจืด” ก็ไม่ต่างอะไรกันกับลักษณะแรกเพราะคนฟังจะเกิดความรำคาญ ง่วงนอน และไม่สนใจที่จะฟัง ดังนั้น การนำเสนอที่ดีควรทำให้ทุกอย่างเกิดความพอดี หากเปรียบเทียบกับการปรุงอาหารก็คงเป็นรสกลมกล่อม ที่ส่วนผสมทุกอย่างลงตัวพอดี (หรือ “อูมามิ” ในภาษาญี่ปุ่น) บางคนบอกว่าเป็นรสชาติกลางๆ ที่คนส่วนใหญ่รับประทานได้  จึงจะเกิดประโยชน์และเหมาะสมที่สุด

สุดท้ายนี้  สำหรับผู้เขียนมองว่า การได้เดินทางไปร่วมนำเสนอผลงานวิชาการในครั้งนี้ เป็นการเปิดโลกทัศน์ทางวิชาการให้กับผู้เข้าร่วมประชุม โดยเฉพาะนักศึกษา เพราะภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมหาบัณฑิต หรือ ดุษฎีบัณฑิต ล้วนต้องก้าวเข้าสู่เวทีวิชาการอย่างเต็มตัว ซึ่งอาจจะไปในฐานะผู้นำเสนอผลงาน หรือ ในฐานะผู้วิพากษ์ ดังนั้น ประสบการณ์ตรงจากการเข้าร่วมในเวทีระดับชาติและนานาชาติในครั้งนี้ จึงทำให้นักศึกษารู้จักวางแผนการเดินทางและเตรียมความพร้อมสำหรับการนำเสนอ  ที่สำคัญ ผู้เข้าร่วมประชุมฯ ยังได้เครือข่ายทางวิชาการกับบรรดาอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษาปริญญาเอก และนักศึกษาปริญญาโทจากสถาบันต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นช่องทางความร่วมมือทางวิชาการร่วมกันในอนาคต  แน่นอนว่า ประสบการณ์ดีๆ แบบนี้หาฟังจากที่ไหนก็ไม่เท่าได้ไปสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตนเอง  ที่สำคัญนักศึกษาแต่ละคนซึ่งมาจากต่างที่ต่างถิ่น เสมือน “ดิน” ต่างชนิดกัน บ้างก็เป็นดินร่วน  ดินเหนียว ดินทราย และดินปนทราย  ดินเหล่านี้นอกจากจะมีค่า pH (กรด-ด่าง)ที่ต่างกัน ยังเหมาะที่จะปลูกพืชต่างชนิดกันด้วย  ดังนั้น จึงเป็นความยากและความท้าทายของอาจารย์ผู้สอนว่าจะปั้น “ดิน” เหล่านี้ให้เป็น ”ดาว” เจิดจรัสบนเวทีวิชาการในแต่ละศาสตร์ แต่ละสาขาภายใต้บริบทที่ต่างกันได้อย่างไร

กำลังใจ...สู้ภัยน้ำท่วม

ประทุมทิพย์ ทองเจริญ


ปกติช่วงเวลานี้ นักเรียนนักศึกษาทุกสถาบันกำลังคร่ำเคร่งกับการศึกษาเล่าเรียน แต่มาบัดนี้ เกิดภาวะไม่ปกติอันเนื่องมาจากมหาอุทกภัยที่หลายจังหวัดต้องเผชิญรวมถึงจังหวัดนครปฐมซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดลที่ผู้เขียนกำลังศึกษาก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ส่งผลให้สถาบันการศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้เลื่อนการเปิดภาคเรียนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งบางแห่งเลื่อนการเปิดภาคการศึกษาออกไปจนถึงต้นเดือนมกราคมปีหน้า (พ..2555)  บางแห่งก็จัดให้มีการเรียนการสอนชดเชยในวันเสาร์-อาทิตย์
อุทกภัย (น้ำท่วม) ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Flood เป็นอีกหนึ่งประเภทของ “ภัยพิบัติ” (Disaster) ซึ่งประกอบด้วย ดิน(ธรณี) น้ำ (อุทก)  ลม(วาต) และไฟ (อัคคี)  มีการวิเคราะห์ว่า บรรดาภัยพิบัติทั้ง 4 ประเภท “อุทกภัย” มีความรุนแรงน้อยที่สุด (จริงหรือไม่)  จะว่าไปแล้ว “น้ำท่วม” เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดทางภาคใต้บ่อยครั้งกว่าภาคอื่นๆ เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับทะเลทั้ง 2 ฝั่ง (อันดามันและอ่าวไทย) จึงมีโอกาสได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม (ตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้) ที่พัดผ่านมาเป็นประจำ ส่วนภัยพิบัติอื่นๆที่เคยเกิดขึ้นทางภาคใต้ของไทย เช่น การเกิดมหาวาตภัย ณ แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว (พ..2505) และเหตุการณ์แผ่นดินไหว (TSUNAMI) บริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน เมื่อ .. 2547 ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนของปีนี้ก็ได้เกิดอุทกภัยและดินถล่มในหลายจังหวัดทางภาคใต้ของไทยมาแล้ว เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี  นครศรีธรรมราช และจังหวัดใกล้เคียง  ซึ่งครั้งนั้นชาวมรส.ของเราหลายรายก็ได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติดังกล่าวด้วย  พวกเราจึงรู้ดีว่า “หัวอกของผู้ประสบอุทกภัย”นั้นเป็นอย่างไร
จากเหตุการณ์เช่นนี้คงเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างที่ดีของสถาบันการศึกษา ครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา เพราะบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ ไม่มีในตำรา ไม่เคยมีการนำมาพูดคุย หรือสอนในชั้นเรียนมาก่อน (เป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนจากประสบการณ์ตรง)คาดการณ์ว่านับจากนี้ “การจัดการภัยพิบัติ”หรือ Disaster Management จะมีการนำมาบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนในบ้านเราทุกระดับชั้นมากขึ้น เช่นเดียวกับหลายเหตุการณ์ที่เคยประสบกันมาแล้ว  ก่อนหน้านี้ มีหน่วยงานและสถาบันการศึกษาที่สนใจเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้วหลายแห่ง เช่น  1)หลักสูตรการจัดการภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเริ่มเปิดสอนหลังจากเหตุการณ์ซึนามิทางภาคใต้ของไทย 2) หน่วยวิจัยภัยพิบัติทางธรรมชาติ  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3) มูลนิธิศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม 4)ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นต้น 
ที่สำคัญไม่ว่าจะกี่ร้อยทฤษฎีของนักวิชาการไทย (ความรู้ท่วมหัว) ก็ไม่เท่ากับการนำไปใช้ในทางปฏิบัติที่เห็นผลจริงด้วย (ต้องเอาตัวให้รอด)  ทั้งนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือ การประสานงานที่ดี และการยอมรับของแต่ละฝ่ายร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่ามหาอุทกภัยในครั้งนี้จะทำให้ทุกฝ่ายให้ความสนใจที่จะจัดตั้งหน่วยงานที่จะเข้ามาช่วยเหลือจัดการภัยพิบัติร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในแต่ละพื้นที่มากขึ้นทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และท้องถิ่น
ที่น่าชื่นใจกว่านั้น คือครั้งเมื่อชาวสุราษฎร์ธานีประสบอุทกภัย เราได้รับกำลังใจและความช่วยเหลือจากบรรดาผู้ใจบุญจากทั่วประเทศ มาบัดนี้ เมื่อพี่น้องทางภาคเหนือและภาคกลางประสบอุทกภัย ชาวมรส.ก็ได้นำทีมเจ้าหน้าที่และตัวแทนนักศึกษาไปช่วยเหลือทั้งเงินบริจาคอาหารและน้ำดื่มราชพฤกษ์ รวมถึงน้ำใจจากอาจารย์พิมพ์แพร  พุทธิชีวิน และเพื่อนๆที่ส่งมาไกลจากต่างแดน (ประเทศอังกฤษ) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยเช่นกัน ความช่วยเหลือคนละเล็กคนละน้อยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า “เราคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน จะฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกัน”
            นอกจากนี้ ยังมีกำลังใจจากเหล่าศิลปิน ดารา นักร้องมากมายที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยโดยเฉพาะเพลงท่อนนี้ “ร่างกายอ่อนล้า แต่ใจกล้าเดิน ฝันไม่ไกลเกิน ขอเพียงก้าวเดินด้วยความศรัทธา เชื่อในศักดิ์ศรี มั่นในวิถีของคนกล้า วันนี้ข้ามเส้นชัยมา จะขอยิ้มทั้งน้ำตาให้สาใจ” กว่า 2 เดือนมาแล้ว ที่คนไทยได้ฟังเพลงนี้ประกอบการนำเสนอข่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ และเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ออกอากาศทางช่อง 3 จนทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงหัวอกของผู้ประสบอุทกภัยอย่าง “เข้าถึง” แบบจับจิตจับใจ อย่างที่ภาษาการแสดงเรียกว่า “อิน” (In) ไปกับเนื้อหาสาระที่ปรากฏในข่าว  จะต่างกันก็ตรงที่ความรู้สึกที่แสดงออกมากับเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นของจริง(ที่ไม่อิงนิยาย)
บทเพลงนี้ มีชื่อว่า “สมศักดิ์ศรีวิถีคนกล้า” ขับร้องโดย สมศักดิ์ เหมรัญ กีตาร์มือเดียว รองชนะเลิศอันดับ 1 จากรายการ Thailand’s Got Talent ครั้งที่ 1 ปัจจุบันเขาได้รับโอกาสให้เป็นศิลปินในค่าย “โชนี่ มิวสิค” แม้ว่าหลายคนจะปรามาสว่าอัลบั้มแรกของชายแขนเดียว หน้าตาธรรมดา ไม่มีส่วนคล้ายเกาหลีแม้แต่น้อย และมิได้มาจากตระกูลใหญ่โตร่ำรวย (ไฮโซ) จะไปได้สักกี่น้ำ  แต่จนถึงวันนี้  สมศักดิ์  เหมรัญ  ก็ได้พิสูจน์ให้คนไทยทั้งประเทศประจักษ์แล้วว่า ตราบใดที่ยังมีความหวัง ด้วยหนึ่งแขน สองขา และ “หัวใจนักสู้” ของเขา  ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วย “กำลังใจ” และ “ความศรัทธา” สามารถถ่ายทอดออกมาให้คนฟังมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไปได้ 
นอกจากนี้  หากย้อนอดีตประมาณ 40 ปีที่แล้ว  สมัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่ยังหนุ่มสาว มีเพลง“น้ำท่วม” ที่หลายคนยังจำกันได้  มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า  น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมี แต่คราบน้ำตา  พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา น้ำตาหลั่งคลอสายชล  ผลงานเพลงของครูไพบูลย์ บุตรขัน  ขับร้องโดย  ศรคีรี ศรีประจวบ เพลงนี้ได้รับความนิยมมากในช่วงปี พ..2512-2513 กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีคนนำมาร้องให้ได้ยินบ่อยครั้ง (โดยเฉพาะช่วงน้ำท่วม)  จึงถือได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงอมตะอีกหนึ่งเพลงที่ยังคงตราตรึงอยู่ในดวงใจของใครหลายคน (โดยเฉพาะผู้ประสบอุทกภัย) ซึ่งสาเหตุที่ศรคีรีร้องเพลงนี้ได้ไพเราะจับใจคนฟัง เนื่องจากบ้านของเขาที่ประจวบคีรีขันธ์ก็ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในครั้งนั้นด้วยเช่นกัน
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า บทเพลง บทกลอน ถ้อยคำ และข้อความดีๆ ที่เราส่งไปให้ผู้ประสบภัยในขณะที่พวกเขากำลังเดือดร้อน สามารถเยียวยาจิตใจได้ แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม โดยเฉพาะบทเพลงซึ่งมีทั้งท่วงทำนอง เนื้อร้อง อารมณ์และความรู้สึกของศิลปินสอดแทรกไปด้วยนั้น มีอิทธิพลมากต่อคนฟังเพราะคนปกติทั่วไปชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว  ดังพระราชนิพนธ์แปลในรัชกาลที่ 6 (จากต้นฉบับของ วิลเลี่ยม เช็กสเปียร์) ที่ว่า “ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์
จากเนื้อเพลง “น้ำท่วม” กอรปกับเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งนี้ คงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า “น้ำท่วม” สาหัสกว่า “ฝนแล้ง” เพราะก่อให้เกิดความเสียหายมากมาย เช่น ชีวิตของผู้คนและสัตว์ รวมถึงทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ บางคนสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะกิจการที่ลงทุนไปได้รับความเสียหาย (ตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน)  บางคนเกิดความเครียด และคิดฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ ยังมี “แก๊งค์แมวน้ำ”หัวขโมยที่ตระเวณขนทรัพย์สินของผู้ประสบภัย  รวมถึงความขัดแย้งของผู้ประสบภัยสองฝั่งถนน (ฝั่งน้ำลดกับฝั่งน้ำล้น) และความขัดแย้งของผู้ประสบภัยกับเจ้าหน้าที่รัฐ  บางพฤติกรรมทำให้นักวิจารณ์อดไม่ได้ที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลเปรียบเทียบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมีนาคม พ..2554 ที่ผ่านมา ว่าคนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย มีความอดทน  มีน้ำใจให้กัน  รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม และเชื่อฟังผู้นำ รวมๆอาจเรียกว่ามี “สปิริต” (Spirit) ขณะที่ผู้ประสบภัยในบ้านเราจำนวนไม่น้อยแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา  ประเด็นนี้จึงเป็นงานของผู้นำประเทศ ครูอาจารย์  ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องของไทย ว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างและปลูกฝังนิสัยใจคอและพฤติกรรมที่ดีเหล่านี้ให้บังเกิดแก่เยาวชนไทยในวันข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม  การแก้ไขปัญหาภัยพิบัติลักษณะนี้คงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู (ซ่อมแซมอาคารบ้านเรือน) ตลอดจนให้การเยียวยาทั้งทางร่างกายและจิตใจแก่ผู้ประสบภัย  นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในระยะสั้นอาจใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน  จึงจะดำเนินการช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้วเสร็จ  หลังจากนั้น ก็จะต้องมีแผนปฏิบัติการที่จะมารองรับสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น เหตุการณ์ “มหาอุทกภัย” ครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทุกฝ่ายจะต้องนำมาวางแผน คิดวิเคราะห์ เพื่อหาทางรับมือและแนวทางจัดการปัญหานี้ในระยะยาว รวมถึงการดำรงตนด้วยความ“ไม่ประมาท” ตามปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า ที่สำคัญ ไม่ว่าวันที่ 21 เดือน 12 ปี ค..2012 โลกจะแตกตามคำทำนายหรือไม่ เราก็ควรทำวันนี้และวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุด เพราะนับจากนี้ภัยพิบัติอาจมาเยือนเราได้หลากหลายรูปแบบและบ่อยครั้งขึ้น แต่จะเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร ไม่มีใครล่วงรู้ได้ จนกว่ามันจะมาเยือนเราและชาวโลกอีกครั้ง