วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

การเตรียมตัวสอบ QE (QE = 3IQ+EQ)

ประทุมทิพย์ ทองเจริญ
ล่วงเลยมาถึงภาคการศึกษาที่ ๒/๒๕๕๕ เป็นเวลากว่า ๑ ปี ๗ เดือน ที่ผู้เขียนมาศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต  คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  ภาคการศึกษานี้ผู้เขียนและเพื่อนๆ นักศึกษา รวม ๖ คน ไม่มีเรียนเนื้อหาวิชา (Coursework) แล้ว แต่ก็มีภาระงานอื่นๆอีกหลายรายการ ได้แก่ การเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์  การสัมมนา การสอบวัดคุณสมบัติ (QE : Qualifying Examination) การสอบปลายภาควิชาประเด็นนโยบายสาธารณะเชิงวิพากษ์ และการวิพากษ์หลักสูตรฯ
สำหรับการสัมมนาวิชาการหัวข้อ “ทิศทางการวิจัยและการพัฒนาด้านสังคมศาสตร์ไทยสู่ประชาคมอาเซียน”ณ ห้องรับรอง (กันภัยมหิดล) คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา  ได้รับเกียรติจากวิทยากรภายนอก ๒ คน คือ ศาสตราจารย์ ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์  อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  หัวหน้าพรรครักษ์สันติ  ท่านที่สอง คือ ศาสตราจารย์ ดร.บุญทัน  ดอกไธสง อดีตรองประธานวุฒิสภา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และวิทยากรภายใน ๑ คน คือ รองศาสตราจารย์ ดร.กัมปนาท ภักดีกุล คณบดีคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยมี อ.ดร.โชคชัย สุทธาเวศ เป็นผู้ดำเนินรายการรับเชิญ
การสัมมนาในครั้งนี้ได้ข้อคิดจากวิทยากรมากมาย โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  วิทยากรเล่าว่าปัจจุบันมีผู้สูงอายุกว่า ๑๐ ล้านคน หรือ คิดเป็นสัดส่วน ๑ ใน ๔ ของประชากรทั้งหมด  ที่สำคัญ วิทยากรให้ข้อคิดว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรในอนาคตให้เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ได้แก่ การมีสุขภาพดี สามารถเดินไปไหนมาไหนคล่องแคล่ว รวมถึงการมีสมองและความจำที่ดีไม่เป็นโรคความจำเสื่อม (Alzheimer's Disease : AD) นี่ต่างหากคือข้อคิดที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะต้องนำไปคิดต่อทั้งในฐานะที่เป็นนักวิชาการ นักนโยบายสาธารณะ ตลอดจนการดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น  ในอนาคตไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็ต้องย่างก้าวเข้าสู่การเป็น “ผู้สูงอายุ” ดังนั้น จึงควรเตรียมความพร้อมเสียตั้งแต่วันนี้
 สำหรับช่วงบ่ายเป็นการนำเสนอผลงานวิชาการของคณาจารย์และนักศึกษา ซึ่งผู้เขียนได้นำเสนอผลงานวิจัย หัวข้อ “การประเมินสถานภาพองค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ไทยและทิศทางการวิจัยในอนาคต : กรณีศึกษาด้านการคลังและงบประมาณ” ส่วนหนึ่งในรายวิชาการศึกษาอิสระสำหรับนักนโยบาย สอนโดย อ.ดร.โชคชัย สุทธาเวศ ใช้เวลาในการนำเสนอคนละประมาณ ๑๕ นาที  นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้นำบทความดังกล่าวมาพัฒนาเพื่อใช้ประกวดในการประชุมวิชาการระดับชาติในวันคล้ายวันสถาปนาสถาบันบัณฑิตพัฒน  บริหารศาสตร์ ประจำปี ๒๕๕๖ หัวข้อ พรมแดนความรู้ใหม่สู่อนาคตการบริหารการพัฒนา” (The Next Frontier of Development Administration) ณ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖
 เสร็จสิ้นการสัมมนา ผู้เขียนและเพื่อนๆ ก็ต้องเตรียมตัวสอบวัดคุณสมบัติ หรือ QE (Qualifying Examination) ซึ่งบางแห่งใช้คำว่า การประมวลความรอบรู้ (Comprehensive) ซึ่งหลายคนเทียบเคียงความหมายของสองคำนี้ในทำนองเดียวกัน แต่ในความเห็นของผู้เขียนมองว่าการสอบ QE มีความยากและเข้มข้นกว่าส่วนใหญ่มักใช้กับการสอบระดับดุษฎีบัณฑิต ขณะที่การสอบประมวลความรอบรู้มักใช้กับการสอบวัดความรู้ความสามารถของผู้ที่จะสำเร็จเป็นมหาบัณฑิต สำหรับการสอบ QE ของนศ.รุ่น 2 รอบแรกจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕  สอบปากเปล่าวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕  วัตถุประสงค์ของการจัดสอบเพื่อเป็นการทดสอบผู้เรียนหลังจากเรียนเนื้อหาวิชา (Coursework) เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อประเมินผลว่าผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ และการประยุกต์ใช้ทฤษฎีและองค์ความรู้ต่างๆที่เรียนมาได้มากน้อยเพียงใด หากสอบผ่านก็ถือว่าผู้นั้นมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็น “Doctoral candidate” แล้ว (ที่นี่ใช้คำนี้เนื่องจากปริญญาที่จะได้รับ คือ Doctor of Public Administration : DPA)  ส่วนผู้ที่เรียนหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตถ้าสอบผ่านก็จะได้เป็น "Ph.D candidate" จากนั้นก็จะไปสู่ขั้นตอนการพัฒนาโครงร่างดุษฎีนิพนธ์เพื่อเตรียมตัวสอบโครงร่างฯ ในลำดับถัดไป
 นอกจากนี้ ผู้เขียนยังสืบทราบมาว่าเกณฑ์การสอบ QE ของบัณฑิตวิทยาลัยแต่ละแห่งจะแตกต่างกัน เช่น จำนวนครั้งของการเปิดสอบ มีตั้งแต่ ๑ ครั้ง ไปจนถึง ๓ ครั้ง รวมถึงเกณฑ์คะแนนที่สอบผ่าน มีตั้งแต่ ๖๐% ไปจนถึง ๘๐%  ส่วนใหญ่จะกำหนดให้มีการสอบวัดคุณสมบัติเพียง ๒ ครั้ง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Cornell University บางแห่งเกณฑ์บีบหัวใจนักศึกษามากเพราะกำหนดสอบเพียงครั้งเดียว (แบบวัดใจและวัดดวงกันไปเลย) ถ้าได้ก็ไปต่อถ้าไม่ได้ก็เก็บกระเป๋ากลับบ้าน คล้ายการแข่งขันประกวดร้องเพลงและรายการ Reality หลายรายการในบ้านเรา แต่สำหรับการศึกษาอาจจะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นแตกต่างออกไป
 ทั้งนี้ การสอบวัดคุณสมบัติ หรือ QE (Qualifying Examination) ของมหาวิทยาลัยมหิดล บัณฑิตวิทยาลัยกำหนดให้มีการสอบได้ไม่เกิน ๓ ครั้ง แต่ละครั้งจะมีการจัดสอบห่างกันประมาณ ๑ เดือน เพื่อให้นักศึกษาที่สอบไม่ผ่านมีโอกาสเตรียมตัวเพื่อสมัครสอบในครั้งต่อไป หากสอบครบตามจำนวนแล้วยังสอบไม่ผ่านก็จะถูกคัดชื่อออกจากสารระบบ  และต้องหาที่เรียนใหม่  ซึ่งสถานศึกษาบางแห่งอาจจะเปิดโอกาสให้เทียบโอนหน่วยกิตบางรายวิชาไปได้ขึ้นกับหลักเกณฑ์ของแต่ละหลักสูตรฯแต่ละมหาวิทยาลัย  ยิ่งกว่านั้น นักศึกษาบางคนที่สอบไม่ผ่านก็อาจจะเลิกล้มความตั้งใจที่จะเรียนต่อไปเลยก็มี กรณีนี้ถือเป็นความสูญเปล่าทางการศึกษาซึ่งไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น
นอกจากนี้  บัณฑิตวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยมหิดล ยังกำหนดเกณฑ์คะแนนไว้ว่านักศึกษาจะต้องสอบให้ได้คะแนนไม่ต่ำกว่า ๘๐% ในทุกหมวด โดยการสอบจะแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑) การสอบข้อเขียน ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ หมวด ได้แก่ หมวดทฤษฎี หมวดวิจัย และหมวดประยุกต์ โดยจะทำการสอบ จำนวน ๒ วัน  ใช้เวลาหมวดละไม่เกิน  ๓ ชั่วโมง  โดยวันแรกเป็นการสอบหมวดทฤษฎี (ช่วงเช้า) และหมวดวิจัย (ช่วงบ่าย) ส่วนวันที่สองเป็นการสอบหมวดประยุกต์  ๒) การสอบปากเปล่า (Oral) จัดสอบหลังจากสอบข้อเขียนแล้วเสร็จประมาณ ๑ สัปดาห์ โดยเริ่มจากการนำเสนอโครงร่างดุษฎีนิพนธ์ (Dissertation Proposal) ของผู้สอบซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน ๑๐ นาที จากนั้นเป็นการซักถามของคณะกรรมการสอบ ประมาณ ๕ นาที ทั้งนี้ การสอบปากเปล่าของนักศึกษาทั้ง รุ่น ๑ และ รุ่น ๒ สามารถจัดสอบให้แล้วเสร็จภายในครึ่งวันเช้าเนื่องจากมีจำนวนนักศึกษาไม่มาก (รุ่นละ ๖ คน)  หากจำนวนนักศึกษาเกินกว่านี้  อาทิ นักศึกษารุ่น ๓ (จำนวน ๑๔ คน)  ก็อาจมีความจำเป็นต้องจัดสอบทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย หรือจัดสอบสองวันทำการ เป็นต้น

          ในทรรศนะของผู้เขียน มองว่าการสอบวัดคุณสมบัติ (QE) เป็นการวัดทั้ง IQ และ EQ กล่าวคือ IQ (Intelligence Quotient) หมายถึง ความสามารถทางเชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคลซึ่งถูกกำหนดขึ้นจากพันธุกรรมไปจนถึงสิ่งแวดล้อม  เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แสดงออกให้เห็นผ่านพฤติกรรมต่างๆ  โดยมี นายวิลเลียม สเตอร์น เป็นคนคิดคำว่า ไอ.คิว. เป็นคนแรก  สำหรับสูตรการคำนวณหาระดับ IQ  คือ  IQ = [ อายุสมอง (Mental Age) / อายุจริง (Chronologic Age) ] * 100    ซึ่ง IQ ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทหลัก ได้แก่ ๑. ไอ.คิว. ด้านภาษา (Verbal I.Q.)  . ไอ.คิว. ด้านการปฏิบัติ (Performance I.Q.)  . ไอ.คิว. รวม (Full I.Q.)   ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นวิธีการวัดระดับเชาวน์ปัญญาโดยสร้างแบบทดสอบขึ้นมาเพื่อวัดทักษะด้านต่างๆ ของบุคคล ได้แก่ ทักษะด้านคณิตศาสตร์  การใช้ภาษา  การคิดเชิงตรรกะ  การมองเห็น  การจัดหมวดหมู่   ด้านความจำในระยะสั้นๆ  ด้านความรู้ทั่วไป  และด้านความเร็วในการคำนวณ  โดยปกติการวัดระดับไอคิวจะต้องอาศัยนักจิตวิทยาคลินิกที่ได้รับการฝึกฝนการใช้แบบทดสอบจนชำนาญเป็นผู้วัดให้จึงจะมีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้  (ที่มา : http://www.cp.eng.chula.ac.th/)
นอกจากนี้  ในทรรศนะของผู้เขียนมองว่าการสอบ QE ยังเป็นการวัด EQ  ร่วมด้วย โดยเฉพาะใช้กับการสอบแบบปากเปล่า (Oral) แต่สัดส่วนที่ต้องการวัดจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าการวัด IQ ประมาณ  เท่า  กล่าวคือ E.Q.  (Emotional Quotient) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความรู้จักแยกแยะความรู้สึก  การควบคุมความรู้สึก การแสดงออกทางอารมณ์ และการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง (การเรียนรู้ การรับรู้ และการเข้าใจตนเอง) อย่างสร้างสรรค์ ถูกกาลเทศะ  รวมถึงการมีความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น  มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน (empathy)  ด้วยเหตุนี้ จึงแบ่ง  EQ ออกเป็น ๒ ประเภทหลัก ได้แก่  ๑. ความฉลาดทางอารมณ์ที่มีต่อตนเอง (Intrapersonal Emotional Intelligence)  ๒.ความฉลาดทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับคนรอบข้าง (Interpersonal Intelligence) จากที่กล่าวมา ผู้เขียนจึงนำมาสร้างเป็นสมการ ได้ ดังนี้
                                       QE =  3(IQ)+ EQ
                     ภาพที่ 1 : สมการ QE เสนอโดย ประทุมทิพย์ ทองเจริญ

        ดังนั้น การเตรียมตัวของผู้เข้าสอบจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งเนื้อหาสาระ และแนวคิดทฤษฎีที่ร่ำเรียนไปทั้ง ๙ รายวิชา (ตลอด ๓ ภาคการศึกษา)รวมถึงหมวดประยุกต์ซึ่งเป็นการวิเคราะห์และวิพากษ์นโยบายสาธารณะของรัฐบาลชุดปัจจุบันกับตัวแบบนโยบายสาธารณะบนฐานของแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง สรุปว่าการสอบอะไรก็ตาม หากผู้สอบต้องการที่จะประสบความสำเร็จควรมีความพร้อมทั้ง ๓ อย่าง คือ สมอง ใจ และกาย ส่วนที่นอกเหนือจากการควบคุม (Externality) บางคนก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา (Destiny) แต่จะต้องไม่ลืมว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” 

         ทั้งนี้ เทคนิคส่วนตัวของผู้เขียนในการเตรียมตัวสอบ QE คือ การตั้งใจเรียนในชั้นเรียน เรียนแบบมีความสุข สนุกกับการเรียน ช่างสงสัยและค้นหาคำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  คนอื่นในแวดวงวิชาการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างไร และเราคิดเห็นอย่างไร สุดท้ายได้ข้อคิดเห็นจากเรื่องนี้ว่าอะไร เรามีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง  เพื่อให้เข้าใจในเนื้อหาและดึง “หัวใจสำคัญ” ของแต่ละเรื่องที่เรียนออกมาเป็น “คำสำคัญ” (Keywords) จากนั้นนำมาสรุปสั้นๆ ประมาณ ๕ บรรทัด เมื่อเสร็จสิ้นภาคการศึกษาก็จะรวบรวมได้ประมาณ ๓๐-๕๐ คำต่อรายวิชา (ประมาณ ๓- หน้า) ทำในลักษณะนี้ทุกวิชาจนกว่าจะมีการสอบจึงจะนำเอกสารที่สรุปเหล่านี้มาทบทวน ถ้าไม่เข้าใจประเด็นไหนก็กลับไปอ่านซ้ำตรงที่ไม่เข้าใจ เทคนิคนี้ผู้เขียนใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ได้ผลดีทีเดียว เพราะเมื่อถึงเวลาสอบ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาตั้งแต่ต้นจะเริ่มลนลาน จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะอ่านอะไรก่อน-หลัง หนังสือมากมายกองเต็มห้อง บางคนถึงกับถอดใจ เครียดลงกระเพาะ  บ้างก็ล้มป่วย  บางรายไม่สามารถเข้าสอบได้ก็มี  ดังนั้น ผู้เขียนจึงอยากแนะนำผู้สอบทุกสนามว่าควรเตรียมตัวให้พร้อม ค่อยๆทำ ค่อยๆวางแผน ทำงานเป็นระบบ (system) สม่ำเสมอและต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาที่จะต้องสอบ ก็จะสามารถดึงความรู้และทักษะต่างๆ มาใช้ได้อย่างทันท่วงที 

      ส่วนการสอบหมวดประยุกต์ ปกตินักรัฐประศาสนศาสตร์ที่ดีจำเป็นต้องรอบรู้ข่าวสารและเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่แล้ว ดังนั้น การสอบหมวดนี้ผู้เขียนจึงทำการอ่านบทวิเคราะห์ วิจารณ์และวิพากษ์ ของนักวิชาการต่อนโยบายที่กำลังเป็นที่สนใจ หรือ กำลังเป็นกระแส (stream) ของสังคม  ในรอบ ๓-๖ เดือน ทำรายการออกมาว่ามีกี่นโยบาย จากนั้น ตามติดแต่ละนโยบายในเชิงลึกและทำสรุปนโยบายละไม่เกิน ๒ หน้า จากนั้น เชื่อมโยงเข้ากับทฤษฎีที่เรียนว่าแต่ละนโยบายควรใช้แนวคิด ทฤษฎี และตัวแบบใดมาอธิบาย สุดท้าย หลังจากที่นำเสนอแนวทางการวิเคราะห์วิพากษ์ตามแนวทางที่นักวิชาการต่างๆ เสนอมาแล้ว ต้องไม่ลืมว่าผู้ตอบข้อสอบจะต้องแสดงจุดยืนและแนวทางการแก้ไขปัญหาของนโยบายที่มาจากความคิดเห็นของตนเองบนฐานของทฤษฎีอย่าง “แยบคาย” และ “ลุ่มลึก” ด้วยเช่นกัน (ตรงนี้สำคัญมาก)


1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับคำแนะนำจ๊ะน้อง พี่เข้ามาอ่านแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นเลยค่ะ

    ตอบลบ